ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำเกินอำนาจของตัวเองหรือไม่? นี่เป็นคำถามที่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง ในกรณีคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองไทย และประเด็นนี้กลับมาอีกครั้งจากการให้สัมภาษณ์ของรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
เมื่อวานนี้ (16 ตุลาคม 2568) บวรศักดิ์ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่อง ‘คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568’ ที่ระบุว่ารัฐสภาต้องไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการตอบ ‘เกินคำร้อง’ หรือ ‘คำถามที่ไม่ได้ถาม’
บวรศักดิ์กล่าวว่า กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 74 เปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจ กำหนดความบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย โดยสามารถกำหนดให้มีผลในอนาคต เช่น มีผลบังคับในอีก 1 ปีข้างหน้า หรือศาลสามารถกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการในการบังคับได้
เขายกตัวอย่าง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้กฎหมายสั่งลงโทษผู้หญิงทำแท้งขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2563 และให้มีผลหลัง 360 วันของคำวินิจฉัย เหตุชายและหญิงมีสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย และเห็นว่าเข้าข่ายกฎหมายที่ไม่เท่าทันสภาพการณ์ พร้อมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไข
คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการชี้แนวทาง (Indicator) ให้ผู้เกี่ยวข้องอย่างรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และคำวินิจฉัยเรื่องการทำแท้งก็ส่งผลให้มีการปรับปรุงกฎหมายทำแท้งในปี 2564
เมื่อกลับมาพูกถึงประเด็นการเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” ซึ่งอ้างตามอำนาจมาตรา 74 โดยศาลระบุเหตุผลว่า กลัวว่าหากให้ประชาชนเลือกโดยตรง รัฐธรรมนูญอาจจะกลายเป็นกฎหมายที่ดินหรือชลประทาน ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานะของกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ดังนั้น บวรศักดิ์จึงเสนอให้มี ‘การเลือกตั้งโดยอ้อม’ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ฝรั่งเศสใช้ คือ ให้ สส. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะคณะบุคคลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้เลือกคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งถือเป็นการ ยึดโยงกับประชาชน ในทางอ้อม และเป็นสิ่งที่ทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดกับคำวินิจฉัยของศาล
ทั้งนี้ สามารถสรุปได้ว่าบวรศักดิ์ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยเกินขอบเขตการยื่นคำร้องครั้งนี้
ความคิดเห็นของบวรศักดิ์ในเรื่องนี้ สร้างข้อถกเถียงขึ้นมาในแวดวงนักวิชาการด้านกฎหมาย
มุนินทร์ พงศาปาน รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า หลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ (non ultra petita) เป็นหลักการพื้นฐานของนิติศาสตร์และนิติรัฐ ใช้กันทั่วไปในระบบกฎหมายซีวิลลอว์และคอมมอนลอว์ โดยมีเจตนารมณ์ป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ในทำนองเดียวกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมหาชนที่ว่า ฝ่ายบริหารจะมีอำนาจก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง และหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญาที่ว่าบุคคลจะไม่รับโทษทางอาญา ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้อย่างชัดแจ้ง
ประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญบางประเทศ อาจมีบางครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกินคำขอโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ จนก่อให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักกฎหมายของประเทศนั้นๆ แม้ว่าจะมีนักกฎหมายจะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยเกินคำขอในบางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้น
โดยข้อยกเว้นดังกล่าว ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น “ไม่ใช่เพื่อจำกัดสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ อย่างที่เขียนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยแน่ๆ”
ทั้งนี้ มุนินทร์ได้กล่าวว่า คำอธิบายของเขาสอดคล้องกับความเห็นของบวรศักดิ์ในปี 2544 จากหนังสือรวมบทความทางวิชาการของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยถูกวิพากษ์ว่า ตีความเกินอำนาจตัวเองมาแล้ว เช่น กรณีสั่งให้ ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแล DSI หรือกรณีวินิจฉัยตามอำนาจแต่ตีความกฎหมายคลุมเครือและไม่มีขอบเขต เช่น ให้ เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี หรือการพิพากษาให้ ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ เนื่องจากเชื่อว่ามีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองฯ