“นิวซีแลนด์จะไม่ยอมให้อะไรกับเขา แม้แต่การเอ่ยชื่อถึง”
คือคำกล่าวของผู้นำนิวซีแลนด์อย่าง Jacinda Ardern ที่หลายๆ คนน่าจะจำกันได้ ต่อเหตุมือปืนเข้าไปกราดยิงมัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ช จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 50 คน
ก่อนหน้านี้ เวลาพูดถึงเธอ เรามักจะนึกถึงในเชิงกิมมิกซะมากกว่า เช่น นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลกตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง (37 ปี), ผู้นำประเทศคนที่สองของโลกที่คลอดลูกระหว่างดำรงตำแหน่ง (ต่อจากเบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกฯ ปากีสถาน) หรือการที่ใช้ hologram ไปเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แทนตัวจริง
แต่โศกนาฎกรรมในวันที่ 15 มี.ค.ของปีนี้ พร้อมการรับมืออย่างทันท่วงทีก็ทำให้หลายๆ คนเห็นถึงความเข้มแข็งในฐานะผู้นำประเทศของผู้หญิงคนนี้
อาร์เดิร์นไปกล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภา ด้วยประโยคทักทายแบบชาวมุสลิม “อัสลาม อะลัยกุม ขอสันติสุขจงมีแด่ท่าน และพวกเราทุกคน” เธอคลุมผ้าฮิญาบไปพบผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงมัสยิด เธอผลักดันกฎหมายควบคุมปืนให้เกิดขึ้นทันที
เธอทำให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปด้วยความสมานฉันท์ ทั้งๆ ที่ หลายคนยังโศกเศร้า
นิตยสาร TIME เพิ่งประกาศรายชื่อ 100 ผู้ทรงอิทธิพลของโลก ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่แปลกอะไรที่อาร์เดิร์นจะติดโผในหมวดผู้นำ (leader)
Sadiq Khan นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนของอังกฤษ เขียนคำนิยมถึงอาร์เดิร์นว่า นายกฯ นิวซีแลนด์เป็นคนที่ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ เพื่อความหวัง เอกภาพ และการไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ในระหว่างที่เผชิญหน้ากับความกลัว การแบ่งแยก และความเกลียดชัง
“เธอส่งสารอันทรงพลังถึงคุณค่าที่คนทั้งโลกมีร่วมกัน ว่าใครก็ตามที่พยายามแบ่งแยกพวกเรา จะไม่มีวันสำเร็จ และนิวซีแลนด์จะปกป้องพร้อมกับเฉลิมฉลองความหลากหลายและความเปิดกว้างในสังคม”
ขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ ผู้หญิง และผู้นำ คนนี้
.
อ้างอิงจาก
http://time.com/collection/100-most-influential-people-2019/5567767/jacinda-ardern
https://thematter.co/brief/brief-1553004315/73238
ที่มาภาพประกอบ
#Brief #TheMATTER