หลายคนถูกปฏิเสธงานเพราะมีรอยสัก บริษัทหลายแห่งมีมุมมองว่า คนที่มีรอยสักนั้นอาจดูไม่เรียบร้อย ไม่สะอาด และอาจสร้างความรู้สึกต่อต้านให้กับลูกค้าหรือผู้คนที่บริษัทต้องติดต่อประสานงานด้วย
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจในสหรัฐฯ ที่ออกมา ก็พอจะช่วยให้เราเห็นว่า สถานการณ์และมุมมองต่อคนที่มีรอยสัก เริ่มจะเปลี่ยนไปในทางที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น
การศึกษาครั้งนี้จัดทำโดย University of Miami และ University of Western Australia โดยสำรวจผ่านกลุ่มคนสหรัฐฯ ที่มีรอยสักจำนวน 2,000 คนจาก 50 รัฐ ข้อสรุปที่ได้คือ คนที่มีรอยสัก ‘ที่มองเห็นได้’ นอกเสื้อผ้านั้น ไม่ได้มีอัตราการถูกปฏิเสธงาน หรือเงินเดือนที่แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ ไปจากกลุ่มคนที่ไม่ได้มีรอยสักในร่างกาย
Michael French ผู้นำในการศึกษาครั้งนี้ เชื่อว่า ทัศนคติด้านลบๆ ต่อคนที่มีรอยสักกำลังจะเปลี่ยนไป จากอดีตที่รอยสักถูกตีตราว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย มาถึงวันนี้ รอยสักได้ถูกมองว่าเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกรูปแบบหนึ่งของคนรุ่นใหม่
ในขณะเดียวกัน French ยังเห็นว่า ในฝั่งของผู้จ้างงานหรือบริษัทต่างๆ เองก็เริ่มเห็นถึงปัญหาของการปฏิเสธรอยสักแล้วเหมือนกัน
“ผู้จัดการหรือหัวหน้างานที่เคยเลือกปฏิบัติกับแรงงานที่มีรอยสักนั้น พวกเขาก็จะเห็นว่ามันมีความเสียเปรียบในการแข่งขัน (competitive disadvantage) จากการขาดพนักงานที่มีคุณภาพเกิดขึ้น” French ระบุ
ถึงอย่างนั้น รอยสักและทัศนคติที่มีผู้คนมีต่อมันก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป ในหลายสังคม ยังมีภาพต่อรอยสักในเชิงที่ค่อนข้างน่ากลัว เช่น ญี่ปุ่นที่บริษัทหลายแห่งเลือกที่จะไม่รับคนมีรอยสักเข้าทำงาน เนื่องจากกลัวว่าจะเป็นสมาชิกของยากูซ่า ขณะที่บางประเทศก็ยังไม่ได้มีกฎหมายแรงงาน ที่คุ้มครองสิทธิของคนที่มีรอยสักได้อย่างครอบคลุม
อ้างอิงจาก
https://www.newsweek.com/tattoos-no-longer-impede-getting-job-1067035
https://www.voicetv.co.th/read/114785
#Brief #TheMATTER