คืนวันอาทิตย์วันที่ 7 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ Oprah Winfrey พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง ได้กล่าวสุนทรพจน์บนเวทีลูกโลกทองคำ ด้วยเนื้อหาที่กินใจใครหลายๆ คน หลังรับรางวัลเกียรติยศ Cecil B DeMille ซึ่งมอบให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์แก่วงการบันเทิง ถึงขั้นมีเสียงเรียกร้องให้เธอลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในปี 2020
โครงสร้างสุนทรพจน์ของโอปราห์จะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ 1. เล่าถึงความผูกพันกับรางวัลที่ได้รับ รวมถึงขอบคุณผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ และ 2. ให้กำลังใจและชื่นชมผู้หญิงทุกคน ซึ่งลุกขึ้นมาแบ่งปันเรื่องราวการถูกล่วงละเมิดจากผู้ชาย ในรอบปีที่ผ่านมา จนทำให้เกิดกระแส Me too ขึ้นทั่วโลก
และนี่ก็คือเนื้อหาโดยสรุปของสุนทรพจน์โอปราห์ ในค่ำคืนที่งานลูกโลกทองคำ เต็มไปด้วยสตรีในชุดดำบนพรมสีแดง
“ในปี 1964 ขณะที่ฉันยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่บนพื้นเสื่อน้ำมันที่บ้านของแม่ในมิลวอกี นั่งดู Anne Bancroft แกะซองจดหมายเพื่อประกาศรายชื่อนักแสดงนำชายรางวัลออสการ์ ก่อนจะประกาศคำ 5 คำที่จะสร้างประวัติศาสตร์ นั่นคือ ‘The winner is Sidney Poitier’ จากนั้นชายผิวสีที่สง่าที่สุดที่เคยเห็นก็ก้าวขึ้นสู่เวที (ปอยเทียร์เป็นนักแสดงผิวสีคนแรกที่ได้รางวัลออสกร์) ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอธิบายว่าโมเม้นต์นั้นมันสำคัญอย่างไรต่อเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งมองเหตุการณ์นี้จากที่นั่งราคาถูก ในขณะที่แม่ของเธอเพิ่งกลับจากงานทำความสะอาดบ้านของผู้อื่นอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เท่าที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ท่องโยคที่ซิดนีย์พูดในภาพยนตร์เรื่อง Lilies of the Field ซึ่งส่งให้เขารับรางวัลในปีนั้น คือ เอเมน เอเมน เอเมน และเอเมน
“ในปี 1982 ซิดนีย์ได้รับรางวัล Cecil B DeMille เช่นกัน ณ ที่แห่งนี้ บนเวทีลูกโลกทองคำ และ ณ นาทีนี้ ฉันก็เชื่อว่าจะมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกหลายคนคอยจ้องมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ ในนาทีที่ฉัน-ผู้หญิงผิวสีคนแรก ได้รับรางวัลเดียวกัน
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่จะแบ่งปันค่ำคืนแสนวิเศษนี้ร่วมกับบุคคลที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉัน คนที่ท้าทายฉัน คนที่คอยค้ำจุนจนฉันมีวันนี้ได้ Dennis Swanson ผู้ที่ให้โอกาสฉันจัดรายการ AM Chicago หรือ Quincy Jones ผู้ที่แนะนำฉันให้ Steven Spielberg และบอกว่า ‘นี่แหล่ะคือโซเฟีย (ตัวละครหญิงแกร่งผู้ไม่ยอมให้ถูกใครรังแก-ผู้แปล) จากนิยายเรื่อง The Color Purple’ ไม่รวมถึง Gayle King ผู้ให้นิยามของทุกสิ่งที่เพื่อนควรจะเป็น และ Stedman Graham ผู้คอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ และคนอื่นๆ ที่ไมได้เอ่ยอ้างถึง
“ฉันอยากขอบคุณสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮอลลิวูด (ผู้พิจารณาให้รางวัล Cecil B DeMille) เพราะอย่างที่รู้กันว่า สถานการณ์สื่อปัจจุบันอยู่ในภาวะย่ำแย่ แต่พวกเราก็รู้กันว่ามันต้องอาศัยความทุ่มเทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยที่จะนำเสนอจริงเพื่อให้พวกเราทุกคนไม่บอดใบ้ต่อสิ่งผิดปกติและความอยุติธรรม ฉันอยากจะย้ำว่าไม่มีเวลาใดที่สื่อจะมีคุณค่ามากไปกว่าช่วงเวลาที่ทวีความซับซ้อนนี้
ซึ่งจะนำมาสู่สิ่งที่ฉันอยากบอกก็คือ ‘ไม่มีเครื่องมือใดที่จะทรงพลังไปกว่าการพูดความจริง’
“ฉันอยากจะบอกว่าฉันภาคภูมิใจและได้รับแรงบันดาลใจเป็นพิเศษ จากผู้หญิงที่กล้าแกร่งพอที่จะออกมาเผยเรื่องราวส่วนตัว หลายคนในที่นี่สมควรได้รับการเฉลิมฉลองจากการออกมาพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ส่งผลสะเทือนแค่ต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเท่านั้น ทว่าเป็นเรื่องราวที่ข้ามพ้นข้อจำกัดทางวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ ชาติพันธุ์ การเมือง ไปจนถึงที่ทำงานใดๆ ดังนั้น คืนนี้ฉันจึงอยากจะแสดงความชื่นชมต่อผู้หญิงทุกคนที่ต้องอดทนกับการถูกล่วงละเมิดหรือคุกคาม ด้วยเหตุผลที่คล้ายๆ กับแม่ของฉัน คือเราต่างมีลูกๆ ต้องเลี้ยงดู มีใบแจ้งหนี้ที่ต้องจ่าย และมีฝันที่ต้องไล่ตาม
“มีผู้หญิงอีกหลายคนที่ฉันอาจไม่เคยรู้จักแม้ชื่อ ทั้งผู้ทำงานในฟาร์ม ในโรงงาน ในร้านอาหาร หรือในวงการต่างๆ และอีกหลายคนที่ฉันรู้จัก เช่น Recy Taylor ผู้ถูกชายผิวขาวติดอาวุธ 6 คน เข้าจู่โจม ข่มขืน และทิ้งไว้บนถนนโดยมีผ้าปิดตา หลังกลับจากโบสถ์ เธอถูกขู่ฆ่าหากนำเรื่องนี้ไปบอกใคร แต่ท้ายสุดก็มีคนรู้เรื่อง และเริ่มต้นการสอบสวนโดย Rosa Parks เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเรซี่ ทว่าในยุคเช่นนั้น ไม่มีความยุติธรรมสำหรับผู้หญิงผิวสี ไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดี และเรซี่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 10 วันก่อน ในวัย 98 ปี
“ผู้หญิงทุกคนรวมถึงเรซี่ต้องอยู่ภายใต้วัฒนธรรมอันผุพังที่ผู้ชายซึ่งโหดร้ายและมีอำนาจเป็นใหญ่ พวกเราอยู่ภายใต้วัฒนธรรมเช่นนี้มานาน..
นานเกินไปแล้วที่เสียงของพวกเราไม่เคยได้ยิน แต่เวลาของพวกเขา ‘มันหมดลงแล้ว’ (their time is up – โอปราห์ย้ำคำนี้ถึง 3 ครั้ง)
“และฉันหวังว่าเรซี่ เทย์เลอร์จะจากไปโดยรู้ว่าความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอประสบ หรือสิ่งที่โรซา ปาร์กส์ ทำภายหลังบนที่นั่งรถโดยสารของคนผิวขาว หรือสิ่งที่ผู้หญิงอีกหลายๆ คนเลือกจะออกมาพูดว่า ‘Me too’ ในเวลานี้ ผู้ชายทุกๆ คน จะต้องหันกลับมาฟัง
“ตลอดชีวิตการทำงาน ฉันได้พยายามทำอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ ที่จะพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของผู้คน ทั้งเรื่องสุขหรือเศร้า สำเร็จหรือล้มเหลว ยืนหยัดหรือล่าถอย ฉันเคยสัมภาษณ์คนที่ชีวิตเจอแต่สิ่งอัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ แต่คนเหล่านั้นกลัยยังสามารถที่จะยึดกุมความหวังสำหรับวันพรุ่งนี้เอาไว้ได้ แม้ในค่ำคืนที่มืดมนที่สุด
“ฉะนั้น ฉันจึงอยากให้ผู้หญิงทุกคนที่ชมอยู่ได้รู้ว่า วันใหม่อยู่ที่ปลายฟากฟ้า – และทันทีที่แสงแรกของวันมาถึง นั่นก็เป็นเพราะการต่อสู้ของผู้หญิงมหัศจรรย์หลายๆ คน ทั้งที่อยู่ในห้องนี้หรือที่ใดก็ตาม ผู้ที่จะยืนหยัดต่อสู้จนสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ กระทั่งถึงวันที่ไม่มีใครจะต้องมากล่าวว่า ‘Me too’ อีกต่อไป, ขอบคุณค่ะ”
แปลจาก www.theguardian.com/film/2018/jan/08/oprah-winfreys-golden-globes-speech-the-full-text