สืบเนื่องกรณีสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่า สำนักพระราชวังมีประกาศสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93
กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศมาตราการไว้ทุกข์ในสถานศึกษา คือ ให้ลดธงครึ่งเสา 30 วัน ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้ทุกข์ และงดจัดงานที่มีบรรยากาศรื่นเริงทุกประเภท เป็นเวลา 1 ปี
ทั้งนี้ ได้มีการระบุเพิ่มเติมว่ากิจกรรมที่ขอความร่วมมือให้งด คือ กิจกรรมสังสรรค์หรืองานรื่นเริงที่ไม่เป็นทางการ เช่น งานสังสรรค์ของศิษย์เก่า งานแสดงความยินดีในวาระต่างๆ งานเลี้ยงรับ-ส่ง งานแสดงดนตรีหรือคอนเสิร์ต เป็นต้น
ส่วนกิจกรรมที่อยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนหรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรยังคงดำเนินการได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ ขอให้ ‘พิจารณาตามความเหมาะสม’ ของรูปแบบและบรรยากาศของกิจกรรม โดยเน้นความสงบ เรียบร้อย และสำรวม
มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อการวิพากษ์ในสังคมว่า การสั่ง ‘งดกิจกรรม’ เหล่านี้ใช้เวลานานเกินไป อาจทำให้นักเรียนขาดโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญ เช่น วันปีใหม่ วันเด็ก กิจกรรมกีฬาสี หรือแม้แต่การจัดกิจกรรมอำลานักเรียนที่จบการศึกษา
จากนั้น 26 ตุลาคม 2568 อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่ข้อความถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้กำหนดนโยบาย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนนโยบายงดกิจกรรมที่มีบรรยากาศรื่นเริงในสถานศึกษา 1 ปี โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า
การพัฒนาเด็กและเยาวชนจำเป็นต้องคำนึงถึงพัฒนาด้านสติปัญญาและร่างกายจากการเรียนรู้ในชั้นเรียน ควบคู่กับการพัฒนาด้านอารมณ์และสังคมจากกิจกรรมเสริมหรือกิจกรรมนอกหลักสูตร อย่างกิจกรรมกีฬาสี วันปีใหม่ การจัดค่าย ฯลฯ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นงานรื่นเริงของผู้เรียน
แต่แท้จริงแล้วกิจกรรมดังกล่าวมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในมิติอารมณ์และสังคม ทั้งด้านความเชื่อมั่นในตนเอง การรู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุข การทำงานเป็นทีม การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี การตระหนักรู้ในตน การรู้คิด การสื่อสารและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น การพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นต้น
ซึ่งประกาศของกระทรวงศึกษาธิการทำให้เกิดการตีความ ‘ความเหมาะสม’ ในการจัดกิจกรรมที่คับแคบ ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งนอกจากส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนยังอาจส่งผลต่อธุรกิจรายย่อย เช่น ผู้ประกอบการที่ถูกว่าจ้างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม หรือผู้ปกครองบางส่วนที่อาจเตรียมการเพื่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
อรรถพล ระบุว่า กังวลว่า ถ้ากระทรวงศึกษาฯ จัดกิจกรรมจะทำให้เยาวชนไม่ได้มีส่วนร่วมทางสังคมต่อบรรยากาศโศกเศร้าอาลัย ก็สามารถให้โรงเรียนดำเนินการตามแนวปฏิบัติอื่น โดยมิต้องลดทอนหรืองดเว้นการจัดกิจกรรมดังกล่าว เช่น การถวายความอาลัยก่อนเริ่มกิจกรรม การปรับเปลี่ยนแนวทางบางส่วนของกิจกรรม การกำหนดโจทย์ใหม่ของกิจกรรมให้ยึดโยงกับบรรยากาศทางสังคม เป็นต้น
สุดท้ายนี้ อรรถพลขอให้ผู้กำหนดนโยบายเชื่อมั่นในดุลยพินิจของผู้ดูแลกิจกรรมต่างๆ และให้เชื่อมั่นว่านักเรียนมีความสามารถในการรู้คิดและรู้กาละเทศะมากพอ พวกเขาสามารถร่วมทุกข์กับผู้ใหญ่ในสังคมได้โดยยังคงมีห้วงเวลาของความสุขและสนุกสนานที่เหมาะสมกับวัยของพวกเขา
พร้อมเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนและกำหนดขอบเขต มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้โรงเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการได้โดยไม่ต้องวิตกกังวลถึงการถูกกำกับ ติดตาม ตรวจสอบของต้นสังกัด จนต้องละเลยหน้าที่สำคัญที่สุดของโรงเรียน คือ การพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์รอบด้าน ควบคู่กับการเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างมีวิจารณญาน
ล่าสุด วันนี้ (27 ตุลาคม 2568) นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงหลังประชุมด่วนผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสรุปความชัดเจนกรณีหนังสือด่วนข้างต้น โดยกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวปฏิบัติ 3 ข้อ ดังนี้
📌กิจกรรมภายในหลักสูตรและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่มีผลดีต่อพัฒนาการของเด็ก สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ไม่ห้ามและไม่งด
📌กิจกรรมที่เป็นไปตามประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาติหรือศาสนาใดก็ตาม สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ไม่ห้ามและไม่งด
📌กิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงที่อยู่นอกเหนือข้อ 1 และ 2 ให้แต่ละหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาว่าจะปรับรูปแบบอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ส่วนการไว้ทุกข์ของกระทรวงศึกษาธิการได้ยึดการไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี
โดย สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงว่า กิจกรรมกีฬาสี กิจกรรมเสริมทักษะทางวิชาการของนักเรียน หรือกิจกรรมลูกเสือสามารถทำได้ตามปกติ รวมถึงประเด็นการจัดประเพณีฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคียังสามารถจัดการแข่งขันได้ตามปกติ เพราะถือเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรของผู้เรียน
ทั้งนี้ นฤมลกล่าวว่า กิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากหลักสูตรเสริมการสอนนั้น เช่น กิจกรรมเลี้ยงอำลาจบการศึกษา งานเลี้ยงส่งข้าราชการ หรือศิษย์เก่า ก็ยังสามารถทำได้ แต่ขอความร่วมให้จัดกิจกรรมตามรูปแบบที่เหมาะสม
ส่วนขั้นตอนการดำเนินการต่อจากนี้ ผู้บริหารในแต่ละองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการจะไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติในส่วนอื่นๆ ตามลำดับต่อไป เพื่อวางกรอบแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นกลางและตรงกัน
“ดิฉันขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีความเป็นห่วงต่อพัฒนาการการเรียนของนักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นขอให้มั่นใจว่า ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการแต่ละองค์กรจะไปสื่อสารถึงผู้ปกครอง และสถานศึกษาให้ชัดเจนอย่างแน่นอน” นฤมล กล่าว
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีแนวทางการจัดกิจกรรมในสถานศึกษาที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าจะมีการตีความเรื่องความเหมาะสมเกินขอบเขต หรือมีคำสั่งของโรงเรียนที่จะสั่งให้งดการจัดกิจกรรมของผู้เรียนหรือไม่
สุดท้ายนี้ หากมองผิวเผินกิจกรรมเหล่านี้อาจเป็นเพียงความบันเทิงหรืองานรื่นเริงของนักเรียน แต่แท้จริงแล้ว นอกจากการช่วยพัฒนาทักษะด้านอารมณ์และสังคมของผู้เรียนแล้ว ยังเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เด็กๆ จะได้สร้างความทรงจำร่วมกับเพื่อนวัยเรียน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หากผ่านไปแล้วก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก