ความคูล (coolness) ดูจะเป็นสภาวะพิเศษ ที่ถึงใครจะอยากคูลก็ใช่ว่าจะคูลได้ คนคูลๆ เขาคูลกันเองตามธรรมชาติ และปัญหาสำคัญของความคูลคือ ถ้าเรา ‘อยาก’ และ ‘พยายาม’ ที่จะคูลปุ๊บ เราก็มักจะสูญสิ้นความคูล ความเท่ลงไปทันที กลายเป็นพวกที่ ‘พยายามจะคูล’ ไม่ได้คูลออกมาเองตามปกติวิสัย เราอาจจะพอจับสังเกตได้ว่า อันนี้ดูพยายามแล้ว ประดิษฐ์แล้ว ไม่ธรรมชาติแล้วนะ แถมถ้าคีปคูลมากๆ ยังเท่ากับไปใส่ใจสายตาชาวบ้านจนไม่สามารถเป็นตัวเองและมีความคิดสร้างสรรค์ได้ไปอีก
ความคูลเป็นสิ่งที่เก๋ และความคูลหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้โดยที่ไม่ได้ต้องพยายามอะไรมากแต่อยู่กับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างว่า ไม่ใช่ทุกคนและไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะทำหรือแสดงตัวตนออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามอะไร ความพยายามเป็นสิ่งจำเป็น แต่จะพยายามอย่างไรให้ ‘ดูไม่พยายาม’ จนเกินไป อันนี้ก็ถือเป็นศิลปะสำคัญในการที่เราจะอยู่กับโลกใบนี้ได้อย่างพอเหมาะและพอดี
Edward Slingerland ศาสตราจารย์ทางเอเชียศึกษาที่ University of British Columbia เป็นคนที่สนใจศาสตร์และศิลป์ของการพยายามที่จะไม่พยายามจนเขียนเป็นหนังสือชื่อ Trying Not to Try: The Art and Science of Spontaneity ด้วยความที่อาจารย์แกเคยศึกษาปรัชญาจีนและหันมาสนใจประสาทวิทยาและจิตวิทยาเชิงสังคม หนึ่งในคำตอบของแกคือบอกว่า แกนสำคัญที่เราจะคูลและประสบความสำเร็จอยู่บนโลกนี้ได้อยู่ที่การพยายามที่จะไม่พยายาม อยู่ที่การปล่อยและดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ไปตามธรรมชาติ วิธีคิดนี้ค่อนข้างอิงหลักปรัญชาแบบเต๋า เป็นการทำโดยไม่ทำ-zen เวอร์
ฟังดูงงๆ เกือบจะเข้าใจ เกือบจะทำได้ ซึ่งวิธีแบบเต๋าก็จะเซนๆ แบบนี้แหละ เป็นเรื่องของการ ‘หยุดพยายาม’ เพื่อปล่อยไปตามธรรมชาติ ในทางปฏิบัติอาจจะเป็นการแตะเบรกว่า เฮ้ย! ถ้าพยายามมากๆ ลองหยุดซักหน่อยแล้วปล่อยอะไรไปตามจังหวะของมัน เป็นตัวเองไม่ต้องพยายามดูบ้างอาจจะดีก็ได้ คล้ายๆ เวลาที่เราอยากนอนหลับ ถ้าเรายิ่งไปอยากหลับมากๆ ไปกำกับ ยิ่งพยายาม ก็อาจยิ่งจะเละเทะไปกันใหญ่- ในแง่ของสไตล์ก็ดูจะคล้ายๆ กัน-ถ้าอยากคูลมาก อยากเป็นแบบโน้นแบบนี้ พยายามวิ่งตามมากๆ ก็พักบ้าง ความคูลในตัวเองอาจจะฉายออกมาแล้วได้เป็นคนคูลจริงๆ ขึ้นมาก็ได้
อ่านถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งสุดโต่งว่าต่อไปนี้จะปล่อยทุกอย่างไป ‘ตามธรรมชาติ’ แล้วไม่ต้องพยายามอะไรเลย แต่ปรัชญาแบบจีนนี้คือการหาสมดุลระหว่างการพยายามและการปล่อยไปตามธรรมชาติ
จากปรัชญาที่ฟังดูงงๆ มาสู่งานศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น งานที่บอกว่า เราควรจะหยุดอยากและเป็นคูลได้แล้ว เพราะการ ‘คีปคูล’ หรือการพะวงว่าจะคูลไหมนอกจากจะไม่คูล ไม่เป็นธรรมชาติแล้ว ยังไปขัดขวาง ‘กระบวนการความคิดสร้างสรรค์’ (creativity) อีก
Dr. Brené Brown นักคิดชาวอเมริกันบอกว่า ถ้าอยากจะเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ก็เลิกอยากจะคูลซะ เธอบอกว่าความคูลที่ใฝ่หาสุดท้ายแล้วเป็นภัยกับตัวเรา เพราะเรากำลังใส่ใจ ‘สายตา’ ของคนอื่นมากเกินไป เมื่อเรามัวแต่ใส่ใจสายตาชาวบ้าน จะเอาสติที่ไหนมานั่งคิดอะไรใหม่ๆ ได้เล่า-ซึ่งตรงนี้ก็แอบแทงใจเนอะ-เพราะบางทีเราอยากเป็นคนครีเอตๆ คูลๆ เราก็มักนึกถึง ‘ลุค’ ของเราก่อน การคิดถึงลุค ก็กลายเป็นเป็นว่าเราไปนั่งคิดถึงว่าคนอื่นจะรับรู้เราอย่างไรแทนการคิดงาน
คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมเลยกลับไปสอดคล้องกับวิถีแบบเซนๆ คือถ้าอยากสร้างสรรค์ ก็กลับมาโฟกัสที่ตัวเอง โฟกัสที่เส้นทางสร้างสรรค์ของตัวเราเอง ไม่ใช่เส้นทางความคูลที่คนอื่นสร้างไว้ ถ้าเราติดอยู่กับความคูลของคนอื่น เราย่อมไม่สามารถแสดงและพัฒนาความคิดและตัวตนของเราในรูปแบบที่เฉพาะของเราเองได้
สุดท้ายก็ดูจะกลับมาที่คำแนะนำที่ฟังดูซ้ำๆ ได้ยินจนเบื่ออย่าง ‘เป็นตัวเอง’ พัฒนาตัวเองในเส้นทางของตัวเอง หาสมดุลระหว่างความเป็นธรรมชาติและการพยายามอย่างเหมาะสม ซึ่งสุดท้ายการลงมือทำจริงๆ อาจจะยากกว่าคำคมๆ เท่ๆ แต่ประเด็นที่ว่าเรากำลังสนใจสายตาของคนอื่น จนลืมที่จะหาเส้นทางของตัวเองรึเปล่า ก็ถือว่าเป็นข้อคิดที่พอจะเป็นรูปธรรมที่ใช้ได้จริงอยู่
อ้างอิงข้อมูลจาก