We’ll all fly away together… one last time… into the forever and beautiful sky.
นี่อาจเป็นปาร์ตี้ส่งท้ายของทีมฮีโร่อวกาศสุดเพี้ยนที่หลายคนหลงรัก ทั้งยังเป็นงานเลี้ยงอำลาของผู้กำกับมากวิสัยทัศน์อย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ตอนนี้ย้ายฝั่งไปเป็นประธานด้านความคิดสร้างสรรค์ให้กับค่ายคู่แข่งอย่างดีซี สตูดิโอ
จะว่าไป การที่นักทำหนังสักคนจะทำงานข้ามค่ายแบบที่ขาข้างซ้ายเป็นถึงประธานค่ายหนึ่ง ส่วนขาอีกข้างแวะไปกำกับให้กับอีกบริษัท น่าจะไม่ใช่สิ่งที่เราได้เห็นกันบ่อยๆ อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าทั้งมาร์เวล ทัพนักแสดง ไปจนถึงทีมงาน ต่างก็ไม่ไว้ใจใครอื่นให้เป็นผู้ปิดตำนานการผจญภัยของครอบครัวผู้พิทักษ์กลุ่มนี้
ตลอดระยะเวลากว่า 9 ปี เหล่าตัวละครนำโดยโจรกระจอก กระรอก เอ๊ย! แร็กคูนพูดได้ ต้นไม้ทรงพลัง สาวคลั่งตัวเขียว (ที่ไม่ใช่ She-Hulk) และคุณพ่อที่อยากล้างแค้น พาผู้ชมเดินทางไปยังดวงดาวต่างๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะ หรือน้ำตาบ้างเป็นบางที และระหว่างที่ทำภารกิจ ความใกล้ชิดก็ทำให้พวกเขาบนหน้าจอได้เจอสิ่งที่ขาดหายไปในหัวใจของแต่ละคน
มาคราวนี้ Guardians of the Galaxy Vol. 3 ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แถมสาระของหนังก็มีอะไรให้ติดตามมากกว่าแค่แง่ของความบันเทิง ก่อนจะก้าวขาเข้าโรง เราไม่คาดคิดเลยว่า ภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ในเฟสที่ 5 ของมาร์เวลจะวิพากษ์ตัวตนและความต้องการของมนุษย์ได้อย่างมีชั้นเชิงขนาดนี้
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Guardians of the Galaxy Vol. 3*
เราต่างมีวิธีเยียวยาบาดแผลของตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดแข็งที่โดดเด่นของแฟรนไชส์ Guardians of the Galaxy คือการเป็นหนังรวมทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ทุกตัวละครต่างแปลกแยกและแตกต่าง เป็นตัวประหลาดไม่ว่าจะในสายตาที่ผู้อื่นมองมา หรือสายตาที่เขาและเธอเห็นตัวเอง เป็นแก๊งพิทักษ์จักรวาลที่ลึกๆ แล้วพยายามตามหาสิ่งที่เรียกว่าบ้านเพื่อให้หัวใจของตัวเองมีที่พักพิงอย่างแท้จริง
ในภาคแรก ผู้ชมได้รู้ว่าตัวละครอย่าง แดร็กซ์ (เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista)) ต้องสูญเสียทั้งคนรักและลูกสาว แม่ของ ปีเตอร์ ควิลล์ ที่รับบทโดย (คริส แพร็ตต์ (Chris Pratt)) หรือสตาร์-ลอร์ดตายเพราะโรคร้าย และแร็กคูนที่เดินสองขาได้อย่างร็อกเก็ต (แบรดลีย์ คูเปอร์(Bradley Cooper)) ก็น่าจะถูกผ่าตัดดัดแปลงพันธุกรรมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แดร็กซ์รักษาแผลใจผ่านการทำลาย สถาปนาตัวจนได้ฉายา ‘The Destroyer’ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้นให้กับคนรัก แต่การได้พบกับครอบครัวการ์เดียนกลับช่วยเติมเต็มหัวใจที่เคยขาดวิ่นให้เต็มชิ้นยิ่งกว่าตอนฆ่าฟัน
ในขณะที่ร็อกเก็ตเลือกที่จะปิดปากเงียบเพื่อหลบหนีจากอดีตอันโหดร้าย เพื่อนรวมก๊วนตลอดจนคนดูแทบจะไม่รู้เลยว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมีร่างกายและจิตใจอย่างที่ได้เห็น สองภาคที่ผ่านมา เราพบเจอกับท่าทีในการแสร้งแสดงออกว่าแข็งแกร่ง แต่อันที่จริง พิษร้ายแรงยังคงฝังลึกอยู่ในร่างกาย การปิดปากเงียบอาจช่วยยื้อชีวิตต่อได้ ทว่าไม่ตลอดไป เราจึงได้เห็นการเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาของเขาใน Vol.3 นี้
ตัดภาพมาที่ปีเตอร์ ชายหนุ่มผู้มองหาความอบอุ่นที่ถูกพรากไปในวัยเด็ก เขาถูกเลี้ยงดูโดยเอเลี่ยนตัวฟ้า ที่ต่อมาสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตปีเตอร์ใน Vol.2 เขาได้พบรักกับ กามอรา (โซอี ซัลดานา (Zoe Saldana)) ทว่าเธอก็ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของธานอสในมหาศึกชิงอินฟินิตีสโตน กามอราคนใหม่ที่ปรากฏในภาคนี้จึงเป็นคนละคนกับที่เคยมีความทรงจำร่วมกัน
พลาสเตอร์ที่หัวหน้าทีมการ์เดียนนำมาปะติดบาดแผลคือแอลกอฮอล์ และแน่นอน มันไม่ใช่สารเคมีสำหรับล้างแผลกาย แต่เป็นน้ำเมาที่ใช้ย้อมแผลใจ เขาเมาเละทะจนขาดสติหลายต่อหลายครั้ง และเพราะเหตุนี้ ในวันที่ร็อกเก็ตถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาวะก้ำกึ่งระหว่างตายหรือรอด สตาร์-ลอร์ดจึงอดไม่ได้ที่จะโอดครวญว่าคนที่อยู่ใกล้เขามักต้องตายอยู่ร่ำไป ทั้งแม่ พ่อเลี้ยง และมาคราวนี้อาจจะเป็นเพื่อนคนสำคัญ
ตอนนั้นเอง แมนทิส (ปอม เกลม็องตีแย็ฟ (Pom Klementieff)) ตอบปีเตอร์ไปในทำนองที่ว่า “นายอาจคิดว่าทุกคนทิ้งนายไป แต่ที่จริงนายต่างหากที่ทิ้งพวกเขา นายเคยกลับไปเยี่ยมคุณตาที่อาจจะยังไม่ตายบ้างรึเปล่า”
บทสนทนาสั้นๆ นี้ทำเอาเราย้อนกลับมาถามกับตัวเองอีกครั้งว่า วิธีการที่เราทุกคนรับมือกับปัญหาและปมในใจเหมาะสมและตรงจุดเพียงใด หรือวัคซีนที่เราใช้อยู่คือการหลีกหนี เก็บซ่อน และปฏิเสธเพื่อไปพบกับความเสียดายและเสียใจในวันที่ทุกอย่างสายไป…
เรียกฉันว่าพระเจ้า
ตัวละครดิ ไฮ อิโวลูชันนารี (ชุควูดี อิวูจิ (Chukwudi Iwuji)) ในภาค 3 ทำทีว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในหลายดวงดาว เขาก็ไม่ต่างจะพระเจ้าตัวจริง เพราะสามารถสรรสร้างและทำลายสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ต่างๆ ด้วยปลายนิ้วของตัวเอง
“เพราะพระเจ้าไม่มีอยู่จริง ฉันจึงต้องทำหน้าที่แทน” เขาบันดาลโทสะพูดออกมา
หลายคนอาจมองว่าประโยคนี้เป็นเพียงการแสดงออกของวายร้ายอวดดีที่ยกยอว่าตัวเองมีดีกรีสูงกว่าใครอื่น ควบคุมความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้ตามใจ ทำหน้าที่เป็นศาลเตี้ยได้เท่าที่ต้องการ แต่จริงๆ แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์เองก็อาจไม่ต่างไปจากตัวละครนี้เท่าใดนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำทีว่าจะอนุรักษ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธ์ แต่ชณะเดียวกันก็ยังตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตอย่างที่ใจต้องการเสมอ อยากได้ไก่ที่ตัวใหญ่กว่า อยากได้หมูที่เนื้อเยอะขึ้น อยากได้พืชที่เติบโตได้ในทุกฤดูกาล…
หากถอยออกมามอง เราก็คงต้องยอมรับว่ามนุษย์เองก็ไม่ต่างจากวายร้ายของเรื่องที่เล่นสนุกกับสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ ทำตัวเป็นนักควบคุมไม่ต่างจากพระเจ้าในโลกความจริง เหล่านี้น่าจะส่งให้ดิ ไฮ อิโวลูชันนารี ถูกบรรจุอยู่ในฐานข้อมูลของกลุ่มวายร้ายน้ำดี ที่แม้จะไม่มีมิติตื้นลึกหนาบางมากนัก แต่ก็ถูกนำเสนอออกมาอย่างน่าจดจำ มีเป้าหมายและวิธีคิดที่เหมาะจะนำไปพิจารณาต่อไป
มนุษย์มองหาความสมบูรณ์แบบ แต่กลับมองข้ามความสวยงาม
ตั้งแต่วันแรกที่ก่อร่างสร้างอารยธรรม มนุษย์พยายามนำสิ่งที่ใหม่กว่า ดีกว่า สบายกว่ามาทดแทนสิ่งเก่าเสมอ เราแทบไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี เรียนเก่งแล้ว ต้องเรียนเก่งขึ้น เดินทางได้เร็วแล้ว ต้องเร็วขึ้น เป็นวัวให้นมแล้ว ต้องให้นมได้มากขึ้น ฯลฯ เราไล่ตามสิ่งที่ดีขึ้นและดีกว่าเพื่อตามหาโลกในอุดมคติที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ความสมบูรณ์แบบมีอยู่จริงๆ หรือ…
Guardians of the Galaxy Vol.3 ดิ ไฮ อิโวลูชันนารีทะเยอทะยานที่จะยกระดับสิ่งมีชีวิตให้มีวิวัฒนาการและความเป็นอยู่ที่ไร้จุดตำหนิ ต้องเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาด ปราศจากการใช้ความรุนแรง และพัฒนาตัวเองได้ทุกเมื่อ
แต่จนแล้วจนรอด ต่อให้เกิดมาพรั่งพร้อม มีทัศนคติที่สมานฉันท์กลมเกลียว สุดท้ายการอยู่ร่วมกันในสังคมของสิ่งมีชีวิตก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไร้ซึ่งความขัดแย้ง สัตว์มีความคิด ความต้องการ อันเป็นส่วนหนึ่งซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงของวัฏจักรในระบบนิเวศ อุดมคติที่ว่าจึงไม่น่าเป็นไปได้ ซ้ำร้าย การไล่ตามมันยังทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญไปหลายต่อหลายอย่าง
เราพัฒนาตัวเองจนลืมใช้เวลากับครอบครัว วิ่งตามความสำเร็จจนไม่ได้มองว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่นั้นน่าภูมิใจชนาดไหน พยายามเป็นคนที่ดูดีที่สุดจนลืมไปแล้วว่า แท้จริงแล้ว เราก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร…
เพราะไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เอง ชีวิตจึงสวยงาม เพราะมีอารมณ์ความรู้สึก สามัญสำนึกและเจตจำนง เราจึงคงอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิต อันเป็นสิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถก้าวข้ามได้ (แต่ถ้าในจักรวาลมาร์เวล มันทำได้แล้วนะ แง)
ทุกชีวิต?
หนึ่งในฉากที่น่าประทับใจในหนังภาคนี้คือตอนที่ร็อกเก็ตบอกกับปีเตอร์ว่าให้ช่วยทุกชีวิตบนยานที่กำลังจะระเบิด ปีเตอร์ตอบกลับทำนองว่า
“We’ve saved all of the kids.”
“I mean every life.” ร็อกเก็ตสวนกลับ
สิ่งที่อดีตแร็กคูนพูดสะท้อนความจริงที่ว่า บ่อยครั้งเหลือเกินที่มนุษย์ไม่นับสัตว์เป็นชีวิต ยกตัวอย่างคำถาม ‘มีกี่ชีวิตที่รอดมาได้’ เราก็แทบไม่เคยนับรวมสัตว์หรือต้นไม้รวมเข้าไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่ำต้อยด้อยค่าไปกว่ากัน มันอาจไม่ได้มีสติปัญญาหรือมีวิวัฒนาการก้าวหน้าเทียบเท่ามนุษย์ แต่มันต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน
นี่คือฉากสั้นๆ ที่เตือนให้ผู้ชมหันกลับไปมองสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกทั้งยังย้ำกับเราว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้คุณค่ากับความแตกต่างหลากหลายทางสายพันธุ์มากเพียงใด เพราะสมาชิกในทีมฮีโร่ก็แทบจะมีครบหมด ทั้งมนุษย์ เอเลี่ยน สัตว์ จักรกล และต้นพืช
เราตัดสินสิ่งที่ต่างจากเราด้วยความไม่เข้าใจ
สิ่งที่น่าชื่มชมอย่างหนึ่งในตัวของผู้กำกับอย่างเจมส์ กันน์คือกระทั่งสมาชิกใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในทีมมาตั้งแต่ภาคแรกอย่างแมนทิสและเนบิวลา (คาเรน กิลแลน (Karen Gillan)) เขาก็สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกรักและผูกพันกับตัวละครได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ช่วงท้ายเรื่องมีฉากการทะเลาะเบาะแว้งของสองสมาชิกใหม่นี้ เป็นฉากที่ชี้ให้เห็นวิธีคิดบางอย่างซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เนบิวลาต่อว่าแดร็กซ์เพราะความซื่อและหัวช้าของเขามักทำให้ภารกิจผิดพลาดบ่อยครั้ง แต่เมนทิสก็ปกป้องพร้อมตอบโต้ไปว่า เนบิวลาเอาแต่ให้ค่ากับสติปัญญาและสมรรถภาพ ทั้งที่อย่างน้อยแดร็กซ์ก็เป็นคนเดียวในทีมที่ไม่มีปมของตัวเอง แม้เขาจะไม่ฉลาดเท่าคนอื่น แต่ก็มีจิตใจดี…
คำพูดของแมนทิสสอดรับกับสภาพสังคมยุคนี้อย่างไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ จริงเหลือเกินที่ว่า คนเราในวันที่ทุกอย่างฉับไวมักให้คุณค่ากับความสามารถ หน้าที่การงาน ภาวะผู้นำ ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริง การเป็นคนอ่อนโยน พร้อมรับฟัง หรือกระทั่งเป็นผู้ตามที่ดี ก็มีค่ามากพอแล้ว และดีไม่ดีอาจจะจำเป็นยิ่งกว่ายุคไหนๆ ด้วย แต่ปัญหาหลักคือเรามักตัดสินสิ่งอื่นด้วยความไม่เข้าใจ เราต่อว่าคนที่โหวกเหวกโวยวายโดยไม่เคยรู้ว่าในหนึ่งวันเขาเผชิญอะไรมาบ้าง เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกรอบของประสบการณ์ที่ตัวเองพบเจอ จนหลายครั้งก็เผลอมองข้ามชุดความคิดแบบอื่นๆ เหมือนอย่างที่เนบิวลาต่อว่าแดร็กซ์
แม้การที่สตาร์-ลอร์ดดื่มเหล้าจะน่าเศร้าและเป็นภาระผู้อื่น แต่ผู้ชมก็เข้าใจได้เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องเจอ เราอาจไม่ชอบใจที่เนบิวลาเป็นคนตรงไปตรงมา แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นอยู่ในอดีต การเติบโตมาเป็นนักสู้สายลุยอย่างที่เห็นย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแมนทิสจึงไม่ค่อยมีความต้องการเป็นของตัวเอง ตามใจเพื่อนตลอด นั่นก็เพราะเธอถูกเลี้ยงดูมาโดยต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อนั่นเอง
แดร็กซ์ก็เช่นเดียวกัน การที่เขาไม่ได้มีสติปัญญาเท่าคนอื่นๆ อาจจะทำให้คนรอบตัวเดือดร้อนอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี คุณสมบัติอื่นๆ ที่อดีตพ่อและสามีผู้นี้ทำได้ก็เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มแก๊งในนาทีคับขัน แน่นอน เขาไม่สมบูรณ์ เช่นเดียวกับทุกตัวละครในเรื่อง และพวกเราทุกคน แต่เมื่อนำทักษะที่แต่ละคนถนัดมาหลอมรวม เสริมในสิ่งที่แหว่ง เพิ่มในสิ่งที่ขาด ทุกคนก็สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างไม่ยากเย็น…
บางครั้ง เพียงแค่คำชมสั้นๆ อย่าง “แกเป็นหมาที่ดีนะ” ก็ช่วยให้โลกทั้งใบของใครบางคนสดใสขึ้นได้
ทั้งหมดทั้งมวลคงพอสรุปรวมได้ว่า Guardians of the Galaxy Vol.3 คือภาพยนตร์ปิดไตรภาคที่น่าตื่นตามากที่สุดเรื่องหนึ่ง ทุกตัวละครมีฉากให้เฉิดฉาย การดำเนินเรื่องอาจจะติดขัดบ้าง ทว่าก็หักล้างได้ด้วยความสนุก ตลก และซาบซึ้งกินใจ มากไปกว่านั้น หนังเรื่องนี้ยังสามารถนำเสนอมุมมองของการเป็นมนุษย์ที่ต่างมีบาดแผล ชอบควบคุม มองหาความสมบูรณ์แบบ ตลอดจนชอบตัดสินสิ่งที่แตกต่างออกมาได้อย่างน่าสนใจ และที่สำคัญที่สุด มันตอกย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเติมเต็มจนเราเป็นเรา และพัฒนาการของตัวละครที่ปรากฏตัวครั้งแรกอย่าง อดัม วอร์ล็อก (วิลล์ พัลเตอร์ (Will Poulter)) ก็ทำให้เราเข้าใจแบบนั้น…
Guardians of the Galaxy Vol. 3 ก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าการผจญภัยสุดอัศจรรย์ของฮีโร่สายเพี้ยนจะเข้ามาแปรเปลี่ยนแและเติมเต็มที่ว่างในใจของเราได้ไม่มากก็น้อย
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติม