ณ ขณะเกิด ‘รัฐประหาร’ เรากำลังทำอะไรอยู่?
นักเขียนหนุ่มผู้เติบโตจากยุคที่ความหวังถูกแช่แข็ง ‘ณพรรธน์’ ตัดสินใจเล่าเรื่องการเดินทางของเด็กกลุ่มหนึ่ง หลังจากอุกกาบาตตกลงมาในช่วงกันยายน 2549 ซึ่งทำให้ชีวิตพวกเขาก็พลิกผันไปตลอดกาล
‘ความฝันของชายผู้กลายเป็นดาวฤกษ์’ นิยายที่ชวนตั้งคำถามถึงบาดแผลในประวัติศาสตร์ ผสานระหว่างความเจ็บปวดทางการเมือง ความโรแมนติกของจักรวาล และคำถามต่อความเป็นมนุษย์
The MATTER ชวนไปรู้จักกับณพรรธน์ และสำรวจตัวเองไปพร้อมๆ กันว่า เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงรออุกกาบาตลูกใหม่ตกลงมาอีกครั้ง

‘ณพรรธน์’ คือใคร?
ผมเพิ่งเปลี่ยนชื่อมาได้สักประมาณ 2 ปี ปัจจุบันชื่อ ‘ณพัฎน์ จิตตภินันท์กัณตา’ แต่เมื่อก่อนจะเป็น ‘ณพรรธน์ ตรีผลาวิเศษกุล’ ซึ่งคนก็จะรู้จักเราและผลงานในชื่อเก่าตั้งแต่สมัยทำหนังสั้น
แล้วพอเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกคือเรื่อง ‘Drag Queen และซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ’ ที่เป็นรวมเรื่องสั้น ผมก็ใช้นามปากกาว่า ‘ณพรรธน์’ มันก็กลายเป็นนามปากกาจนมาถึงตอนที่เปลี่ยนชื่อไปแล้ว
เวลาต้องนิยามตัวเองว่าทำอะไรก็จะยากนิดหน่อย จะใช้วิธีว่าปัจจุบันรายได้เข้ามาเป็นหลักทางไหนก็ใช้ทางนั้น แต่ว่าหลักๆ ก็เป็นอาจารย์พิเศษที่ ม.กรุงเทพ สอนวิชาเกี่ยวกับภาพยนตร์ เป็นผู้ช่วย สส. พรรคประชาชน แล้วก็คือเขียนหนังสือ นอกจากนิยาย-เรื่องสั้นแล้ว ก็กำลังเขียนบทหนังเรื่องหนึ่งอยู่ครับ
‘ความฝันของชายผู้กลายเป็นดาวฤกษ์’ ?
นิยายเรื่องนี้เล่าเกี่ยวกับชีวิตนักเรียน ม.ปลาย กลุ่มหนึ่ง ก็แทบจะใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป จนกระทั่งมีอุกกาบาตลูกหนึ่งตกลงมากลางโรงเรียนในช่วงปลายเดือนกันยายนปี 2549 แล้วอุกกาบาตลูกนี้ก็นำพาเรื่องราวต่างๆ มามากมาย
ซึ่งก็เป็นภาพแทนสิ่งที่ผมมองตัวเองในสมัยมัธยมปลาย ในวันที่เกิดรัฐประหารครั้งนั้น
ความสงสัยใคร่รู้จาก ‘รัฐประหาร’ สู่การหาคำตอบผ่าน ‘วรรณกรรม’
ผมเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ไอเดียเริ่มมาจากที่เราอยากเล่าเกี่ยวกับการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมอยู่ประมาณ ม.5 เราก็มีความสงสัยใคร่รู้ในการเมือง ว่าเอ๊ะ รัฐประหารมันคืออะไรกันแน่นะ ทำไมถึงมีคนเอาดอกไม้ไปให้ทหาร มีการแสดงความยินดี ก็ตั้งข้อสงสัยกับตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้นว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไอ้คำถามที่เกิดขึ้นในหัวมันก็พาเรามาสู่การทำงานศิลปะ จะหนังสั้นก็ดี งานเขียนก็ดี แล้วเราก็จะมักพูดถึงเรื่องการเมืองอยู่เสมอๆ เพื่อหาคำตอบมาเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ‘ความฝันของชายผู้กลายเป็นดาวฤกษ์’ ก็มาจากโจทย์เดียวกัน เราอยากเขียนเกี่ยวกับความสงสัยที่ตัวเองมีต่อรัฐประหารครั้งนั้นว่า มันคืออะไร แล้วเราควรรู้สึกกับมันยังไง

การมองประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป
ตอนที่เริ่มเขียน ผมทำงานที่หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เปลี่ยนชีวิตเหมือนกัน เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีมองโลก เปลี่ยนวิธีทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ และที่มีผลต่อสร้างสรรค์นิยายเรื่องนี้เลย ก็คือวิธีการมองประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป ประวัติศาสตร์มันคือเรื่องแต่งอะ มันไม่ใช่เรื่องจริง มันคือเรื่องแต่งที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากฟากหนึ่งกับเรื่องเล่าอีกฟากหนึ่ง แล้วมาชนปะทะกัน ทำให้เราเริ่มเอ๊ะ แล้วประวัติศาสตร์ที่แท้จริงมันคืออะไร เราควรทำความเข้าใจประวัติศาสตร์แบบไหน
โปรเจ็กต์แรกที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำ คือเปรียบเทียบไทม์ไลน์ของมหาลัยธรรมศาสตร์กับประวัติศาสตร์โลก ในการทำหนังสือเล่มนี้ผมต้องอ่านข้อมูลเยอะมากเลย หนึ่งในชุดเอกสารที่ผมต้องอ่านต้องดู ก็คือ 6 ตุลา กับ 14 ตุลานี่แหละ
ภาพถ่ายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มันไม่ใช่แบบภาพที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ อย่างภาพการแขวนคอที่ต้นมะขาม แต่ว่ามันมีภาพที่รุนแรงกว่านั้นอีกเยอะมาก แล้วก็เต็มไปด้วยเอกสารประกาศจากมหาวิทยาลัย จดหมายจากอธิการบดี หรือว่าเอกสารจากอีกฟากหนึ่ง สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมเลือกที่จะพูดถึง 6 ตุลา เพราะว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกับใจผมมากๆ
เพราะฉะนั้น มันมีคำถามใหญ่ๆ สองอัน คือรัฐประหารครั้งนั้นคืออะไร และเราจะเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างไร ก็เลยเกิดมาเป็นนิยายเล่มนี้
เมื่อเหตุการณ์สำคัญถูกใช้เป็นฉากหลัง
ผมหยิบเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ 3 เหตุการณ์มาใช้ในนิยาย คือ 6 ตุลาคม 2519, ยุค 2000 ปีก่อนคริสตกาลในสมัยอารยธรรมกรีก แล้วก็ช่วงปี 1600s ในประเทศอิตาลี ซึ่งแต่ละอันผมใช้มันพูดเรื่องการเมืองทั้งหมด
6 ตุลา ก็พูดถึงการเมืองแบบที่คิดว่า เราน่าจะเข้าใจมันแหละ
2000 ปีก่อนคริสตกาล คือช่วงเวลาก่อนที่อารยธรรมกรีกจะถูกโรมันเข้ามารุกราน ซึ่งผมแทนภาพอารยธรรมกรีกเป็นเหมือนต้นกำเนิดของประชาธิปไตย เป็นเหมือนบาดแผลสำคัญบาดแผลแรกของประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์ ก็เลยพูดถึงยุคกรีก

อิตาลีช่วงปี 1600s เป็นช่วงปลายยุคกลางก่อนจะเข้ายุคเรเนซองส์ เป็นช่วงเวลาที่ศาสนจักรรุ่งเรือง ซึ่งก็จะมีนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ผมเขียนถึงเขาในนิยายด้วยก็คือ ‘กาลิเลโอ กาลิเลอี’ ขณะที่ถูกพระสันตะปาปาพิพากษาโทษ เขาถูกบังคับให้พูดประโยคว่า เขายอมเชื่อแล้วว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและโลกไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน แต่ก็จะมีเรื่องเล่าว่า หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้แล้ว เขายังพูดอีกประโยคกับตัวเอง And yet it moves ไม่ว่ายังไงมันก็เคลื่อนที่อยู่ดี
ก็เป็นอีกแรงบันดาลใจหนึ่ง ก็เลยเอาช่วงเวลาเหล่านี้มาใส่เอาไว้ในหนังสือด้วย ที่ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่ก็ต่อยอดจากเหตุการณ์รัฐประหาร แล้วก็ลากมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดมันล้วนเกี่ยวเนื่องและสะท้อนถึงกัน
ผมอยากเขียนถึงเหตุการณ์ที่มันกระทบใจ บางเหตุการณ์ก็เป็นเหตุการณ์ที่ติดค้างอยู่ในใจ บางเหตุการณ์ก็รู้สึกตั้งคำถามว่า เฮ้ย จริงๆ แล้วเรารู้สึกกับมันยังไง พอเขียนเสร็จจริงๆ ก็ทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยเหมือนกันนะ ในที่สุดแล้วก็เกิดความรู้สึกคลี่คลายอะไรบางอย่างในใจ มันทำให้เราพอจะเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ว่าแต่ละเหตุการณ์มันคืออะไร และเราควรจะรู้สึกยังไงกับคนที่เป็นผู้กระทำในทั้ง 3 เหตุการณ์นั้นเลย
ทำไมเลือก ‘อุกกาบาต’ ให้เป็นหมุดหมายสำคัญของเรื่อง
ผมอยากให้มันมีอีเวนต์อะไรสักอย่างที่มันใหญ่มากๆ แล้วเปลี่ยนชีวิตตัวละครทั้งหมดไปเลย เรานึกภาพว่า มันตกลงมากลางโรงเรียนเนี่ย มันน่าจะเป็นสิ่งที่มหากาพย์มากเลย กับอีกโจทย์คือผมอยากได้อะไรสักอย่างที่มันเป็นเมตาฟอร์เกี่ยวกับการรัฐประหาร เพราะนั้นอะไรที่สักอย่างที่มันใหญ่มากๆ แทบจะเทียบเคียงได้กับการรัฐประหารเนี่ย ก็นึกถึงอุกกาบาต
ไอ้วัตถุชิ้นนี้นี่แหละ จะเปลี่ยนชีวิตตัวละครให้พลิกผันไปตลอดกาล

แสงจากวันวาน เศษซากจากดาวฤกษ์
ณ วันที่เขียนนิยายเล่มนี้ ผมกำลังให้ความสนใจหรือหมกมุ่นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในระดับจักรวาล ซึ่งมันก็จะมีหลายพาร์ตให้เราพูดถึงหรือหยิบมาใช้ในงานเขียน ทั้งเรื่องจักรวาลวิทยา ฟิสิกส์กลศาสตร์ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับอะไรประมาณนี้มานานแล้ว
อุกกาบาตมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่หลงเหลือมาจากการระเบิดของดาวฤกษ์ เมื่อดาวฤกษ์มันมาถึงจุดหนึ่งแล้วพลังงานมันสูญเสียไป เพราะว่าการเผาผลาญในแกนกลาง มันก็จะระเบิดออกกลายเป็นซุปเปอร์โนวา ส่วนหนึ่งจากการระเบิดซุปเปอร์โนวา มันก็จะมีอุกกาบาตด้วย เหมือนเป็นสิ่งที่ทิ้งค้างจากความสวยงามเมื่อครั้งเป็นดาวฤกษ์ แล้วมันก็มาตกลงที่โลก อุกกาบาตลูกนี้ก็คือปัจจุบันของสิ่งที่เคยเป็นดาวฤกษ์
พอพูดถึง ‘ดาวฤกษ์’ ผมจะนึกถึงความโรแมนติกอย่างหนึ่ง สมมติว่ามันห่างเราไป 500 ล้านปีแสง นั่นหมายความว่า แสงที่มันเราเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นแสงจากอดีตเมื่อ 500 ล้านปีที่แล้ว สิ่งที่เราเห็นคืออดีตที่มันผ่านไปตั้งแต่ 500 ล้านปีก่อน หมายความว่าดาวฤกษ์ที่เราเห็น ณ ตอนนี้ แสงของดาวฤกษ์ที่มันส่องมา ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน มันอาจจะไม่มีอยู่แล้วก็ได้ เป็นแค่เพียงแสงจากอดีต
มันไม่ใช่ทฤษฎีด้วยนะ แต่มันคือความจริง ซึ่งความจริงอันนี้มันโรแมนติกมากเลย เราเห็นอดีตอยู่บนขอบฟ้าทุกคืน แต่เราไม่รู้ว่า วันนี้ ปัจจุบันนี้ มันคืออะไร
“จากจุดที่เรายืนอยู่ เราไม่มีทางวิ่งตามทันปัจจุบันของจักรวาลได้เลย”
นิรันดร์กาลของจักรวาล
ผมเขียนถึงตัวละครชื่อ ‘พิพัฒน์’ และ ‘นิรันดร์กาล’ ทั้งสองชื่อนี้มันมาจากไอเดียเมื่อตอนที่ทำหนังธีสิสจบของตัวเอง เรื่องมันก็เล่าคนละอย่างเลยเนาะ แต่ผมรู้สึกว่า ทั้งพิพัฒน์และนิรันดร์กาลในหนังมันยังไปได้อีก มีอะไรให้ต่อยอดได้อีก ก็เลยดึงชื่อสองตัวละครนี้มาใช้ในนิยายต่อ
ผมใช้ ‘พิพัฒน์’ ในฐานะที่เป็นตัวละครแทนตัวเอง กับ ‘นิรันดร์กาล’ ในฐานะที่เป็นตัวละครแทนหลายๆ สิ่ง
ชื่อของ ‘นิรันดร์กาล’ มันตั้งต้นมาจากตรงนั้น ผมขยายความต่อว่า มันควรเป็นตัวละครที่มีชีวิต (เกือบจะ) เป็นนิรันดร์ ตัวละครที่กลายเป็นดาวฤกษ์ แล้วมีชีวิตอยู่ยาวนาน เป็นตัวละครที่เหมือนเป็นศูนย์กลาง ที่ดึงเอาทุกคนรอบตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในนิยายเล่มนี้
วิทยาศาสตร์เนี่ย เวลาเราเขียนสมการแล้วพูดถึงความเป็นนิรันดร์ มันก็จะมีเครื่องหมายอินฟินิตี้ (∞) แต่คณิตศาสตร์จะไม่มี สมมติ N เป็นจำนวน N เท่ากับ อินฟินิตี้ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น N เท่ากับอินฟินิตี้ไม่ได้
สมการที่เป็นไปได้ที่สุดในคณิตศาสตร์เขาจะบอกว่า N ใกล้เคียงกับอินฟินิตี้ คือ N ใกล้เคียงกับความเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นความเป็นนิรันดร์ไม่มีอยู่จริง ก็เอาจุดนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในพล็อตด้วย ก็คือ ‘พิพัฒน์’ ที่พยายามตามหาความเป็นนิรันดร์

ถ้าอุกกาบาตไม่เคยตกลงมาเลย
อืม … ไม่เคยนึกถึงเลยแฮะ
ถ้าเทียบเคียงกับปี 2549 ในโลกความเป็นจริง ถ้าการรัฐประหารครั้งนั้นไม่เกิด ป่านนี้เราอาจจะมีประชาธิปไตยที่แข็งแรงกว่านี้ไปแล้ว
เราเคยมีรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เนื้อหาค่อนข้างไปไกลกว่า ณ วันนี้แน่ๆ เมื่อเทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ร่างในสมัยหลัง คสช. ยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเรื่องของรัฐธรรมนูญก็ดี รัฐบาลก็ดี การบริหารประเทศก็ดี เราเคยมีความรุดหน้าไปไกลกว่าสมัยนี้มากๆ ซึ่งก็น่าเสียดายที่มันเกิดรัฐประหารครั้งนั้น ทุกอย่างมันวนกลับมาหมดเลย
“ถ้ามันจะเกิดบาดแผลอะไรสักอย่างจากการบริหารการเมือง ก็ปล่อยให้มันเป็นบาดแผลไป แล้วเราก็เรียนรู้จากบาดแผล ซึ่งมันเป็นประโยชน์สูงที่สุดที่ประวัติศาสตร์จะให้เราได้ เราเรียนประวัติศาสตร์ไปก็เพื่อสิ่งนี้ เพื่อเรียนรู้และก้าวต่อ แต่ว่าประเทศไทยไม่เคยทำอย่างนั้นได้เลย”
นอกจากอุกกาบาตที่ตกมาตั้งแต่ปี 2549 … ปี 2557 ก็ยังมีอุกกาบาตอีกลูก แล้วไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอีกไหม
แต่ถ้าให้พูด ผมมีความหวังกับการเมืองทุกวันนี้นะ อย่างน้อยก็มากกว่าปี 2549 ที่เพิ่งเกิดการรัฐประหาร เพราะฉะนั้นย้อนกลับไปที่คำถาม ถ้าไม่มีอุกกาบาตตกมาในปีนั้น มันจะเป็นยังไง ทุกตัวละครก็คงใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างสงบสุข แล้วทุกคนก็ลงเอยกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง