“ฉันไม่เชื่อในการถอยหลังกลับ ฉันมุ่งตรงไปยังอนาคตอยู่เสมอ” นี่คือสิ่งที่ Noomi Rapace ตอบแทบจะในทันทีเมื่อถามเธอว่าอยากกลับไปเล่นบทซอฟท์ใสบ้างไหม
Noomi Rapace เป็นนักแสดงชาวสวีดิชที่โด่งดังจากหนังสืบสวนไตรภาคชุด millenium อันประกอบด้วย The Girl With the Dragon Tattoo, The Girl Who Played With Fire และ The Girl Who Kicked The Hornet’s Nest และอีกหลายๆ เรื่อง คาแรคเตอร์ที่เธอมักได้รับนั้น บ้างเฟียร์ซ บ้างเวียร์ด บ้างกรีดดี้ และล่าสุด กับบทเอลฟ์ใน Bright หนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของ Netflix ที่ใช้ทุนสร้างถึง 90 ล้านเรียญสหรัฐ หนังคู่หู่ตำรวจแฟนตาซีเรื่องนี้กำกับโดย David Ayer ผู้กำกับ Suicide Squad โดยมี Will Smith รับบทเป็นตำรวจ และ Joel Edgerton เป็นตำรวจที่เป็นออร์คอีกที
เวลา 15 นาทีสั้นๆ เราคุยกันเรื่องการวิ่งบนส้นสูง หูเอลฟ์ มวยไทย ไปจนเรื่องการเหยียด ที่เธอว่าเป็นหนึ่งในแมสเสจใหญ่ของหนังเรื่อง Bright
รู้สึกยังไงเมื่อต้องรับบทเป็นเอลฟ์ใน Bright
ก็ต้องระมัดระวังหลายอย่างเลยค่ะ เพราะเอลฟ์เซนส์แรงมาก จมูกเอย หูเอย ดีไปหมด เหมือนว่าเราต้องสื่อสารกับร่างกายตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันน่าสนใจมาก ก็ถือเป็นการได้ตระหนักรู้ตัวเองในรูปแบบใหม่ๆ
เตรียมตัวยังไง มีการเทรนด์อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
เยอะมากกก ต้องออกกำลังกายวันละ 2 ครั้ง พิลาทิสอีกมากมาย ไหนจะบัลเล่ต์ แล้วก็วิ่งบนชายหาดอีก
ในหนังคุณต้องใส่ส้นสูงวิ่งด้วย เป็นยังไงบ้าง
โห การขึ้นส้นถ่ายฉากต่อสู้เป็นอะไรที่ยากสุดแล้ว มันทำให้การต่อสู้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยนะ ฉันพยายามบอกเดวิด (ผู้กำกับ) และทีมสตันท์อยู่เสมอ แต่ก็นั่นแหละค่ะ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ซ้อม ซ้อม และซ้อม
คุณเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนมั้ย
แน่นอน ตั้งแต่ตอนอายุ 11 โน่นเลย ทั้งยูโด กังฟู เทควันโด และมวยไทย ฉันนี่แฟนตัวยงของศิลปะป้องกันตัวทุกชนิดเลยนะ ก็เลยลองมันแทบทุกอย่าง
เพราะชอบเอง หรือว่าต้องเทรนด์เพื่อเล่นหนัง
มันเป็นกีฬาที่งดงาม สำหรับฉันสิ่งสำคัญคือการเคารพทุกๆ องค์ประกอบ ศิลปะการป้องกันตัวก็มันก็เหมือนการแสดงแหละ ฉันชอบดู Fight Show ต่างๆ ตามทีวี แฟนเก่าของฉันเป็นนักมวยไทย ฉันก็เลยชอบดู Thai Fight
หากใครก็ตามได้ลองศิลปะการต่อสู้ มันจะทำให้เราแข็งแรงและเต็มไปด้วยการเคารพซึ่งกันและกัน ถือเป็นอีกทางที่ทำให้เราเอาชนะความกลัว ได้เรียนรู้ตัวเอง และเป็นหนทางในการยอมรับความเจ็บปวด ฉันว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว มันทำให้เรารู้สึกเข้มแข็ง ประมาณว่าฉันรับมันได้นะ ฉันสามารถทำสิ่งนี้ได้
สำหรับฉัน ศิลปะการป้องกันตัวจึงเป็นหนทางสู่การเป็นวัยรุ่น และหนทางสู่การกลายเป็นผู้หญิง ฉันก็แค่รักษาร่างกายตัวเองอยู่เสมอ แล้วก็ไม่ใช่เพื่อใครด้วย เพื่อตัวเองนี่แหละค่ะ
มาที่เรื่องเมคอัพในหนังกันบ้าง คุณใช้เวลาแต่งหน้าเป็นเอลฟ์นานแค่ไหนในการเข้าฉาก
หูย 1 ชั่วโมงครึ่งแน่ะ แค่ติดหูเอลฟ์ก็ปาเข้าไป 45 นาทีแล้ว Marilyn Manson ซึ่งเป็นเพื่อนของฉันเคยแวะมาหาที่กองถ่าย เขาหงุดหงิดกับหูเอลฟ์นี่มาก คือจริงๆ ชอบแหละ แต่เป็นคนตลกน่ะ เพราะวันต่อมาก็ยังมาขอหูเอลฟ์จากฉันอยู่เลย ก็เลยต้องให้ไป
ดูเหมือนว่าคุณมักจะได้รับบทดาร์กๆ อยู่เสมอ เป็นเพราะบทแบบนี้ดึงดูดคุณ หรือคุณหลงใหลในบทแนวๆ นี้
ใช่ ฉันหลงใหลตัวละครเหล่านั้นค่ะ คือไม่ค่อยสนบทหวานๆ น่ารัก โรแมนติกอะนะ ชอบบทที่เล่นแล้วรู้สึกมีเลเยอร์ มีอะไรบางอย่างที่น่าค้นหา จากนั้นก็ twist หรือมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันหน่อยๆ แต่มันท้าทายเมื่อมีการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครนั้นๆ
แล้วบท Leilah ใน Bright เป็นยังไง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
เคร่งศาสนามากกกก เธอเชื่อว่าเธอรับใช้ Dark Lord เขาคือพระเจ้าของเธอ เธอจึงทำทุกอย่างที่เขาต้องการ ในหนัง Leilah เป็น Bright คือคนที่สามารถใช้มนตร์วิเศษได้ รู้วิธีการใช้เวทมนตร์ เธอจึงติดอยู่ระหว่างความรับผิดชอบต่อพระเจ้า กับความรักที่มีต่อน้องสาว นี่คือสิ่งที่เธอต้องฝ่าฟันและมันทำให้เธอเจ็บปวด
ต่างจากคาแรคเตอร์อื่นที่เคยรับบทมายังไง
ต้องฝึกเยอะมาก คือวันละ 2 ครั้ง แถมต้องฝึกยิงปืนสั้นปืนยาวเยอะมาก แล้วก็ฝึกการใช้มีด นอกจากฝึกฝนร่างกาย ก็มีเรียนภาษาเอลฟ์ และทำความเข้าใจว่าอะไรคือความปราถนาและความฝันของเธอ รวมไปถึงว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอด้วย แล้วก็ฟังเพลง keltisch เก่าๆ เพลงซอฟท์ๆ เพลงโรแมนติก และเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปสู่ธรรมชาติ เพราะ Leilah ต้องการที่จะอยู่ในโลกที่สวยงามกว่านี้ คือจากมุมมองของเธอแล้ว โลกนี้ไม่ค่อยฟังก์ชั่นนัก มีคนมากเกินไป ทั้งเฉยชา ดิ้นรน และวุ่นวายไปหมด เธอจึงอยากขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป เพื่อทำให้โลกฟังก์ชั่นและสวยงาม
แล้วภาษาเอลฟ์เป็นยังไงบ้าง
มันยากมากเลยค่ะ คนที่สอนคือคนเดียวกับคนที่สร้างภาษาใน Game of Throne เขาประดิษฐ์มันขึ้นมาใหม่เลยนะ ฉันว่ามันฟังคล้ายๆ ภาษาไอซ์แลนด์ผสมภาษาญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน เหมือนภาษาเอเชียเก่าแก่ หรือภาษา nordic ด้วย ก็เป็นภาษาที่แปลกใหม่ดี
คุณไปโปรโมตมาหลายที่ ผลตอบรับจากคนดูเป็นยังไงบ้าง
ค่อนข้างดีนะ จริงๆ คุณไม่มีทางรู้ว่าหนังออกไปมันจะเป็นยังไง คนจะพูดถึงมันแบบไหน แต่ฉันว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัว มีแอคชั่น มีระเบิดในฉากต่างๆ ที่คาดไม่ถึง มันสนุกและเหนือความคาดหมาย ขณะเดียวกันก็มีประเด็นที่ลึกและจริงจังอยู่เหมือนกัน คือเป็นหนังที่ดูซ้ำไปซ้ำมาได้ และทุกครั้งที่คุณดูก็จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในนั้น ลูกชายของฉันได้ไปดูเรื่องนี้ด้วยกันที่ลอนดอน พอออกมาจากโรงก็ถามว่า เมื่อไหร่จะได้ดูอีก
อะไรคือประเด็นที่ลึกกว่านั้นที่ว่า
มันพูดถึงปัญหาเรื่องเชื้อชาติ และการนิยามผู้คนจากศาสนาและสีผิว ซึ่งก็เหมือนกับโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้แหละ เราตัดสินกันเพียงผิวเผิน เป็นโลกที่เลวร้าย มีรถพุ่งชน มีการก่อการร้าย ต้องเป็นมุสลิมแน่เลย คือตัดสินกันเร็วมาก มันอันตรายมากนะ เราน่าจะรับฟังและยอมรับกันและกันมากขึ้น พยายามหาทางเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าสร้างเขตแดนหรือกำแพงแล้วบอกว่าฉันอยู่ข้างนั้นฉันอยู่ข้างนี้ มันต้องไปให้ไกลกว่านั้น ฉันว่าตอนนี้เรากำลังจัดการปัญหาในแบบผิดๆ
เหมือนกันกับหนังเรื่อง What Happened to Monday กับ Seven Sisters คือมันสนุกแต่ก็เข้มข้นในประเด็นของครอบครัวและความเป็นพี่น้อง แม้คุณจะรักและต้องปกป้องครอบครัวมากแค่ไหน แต่คุณก็ยังคงมีความฝันของตัวเอง มันลึกนะ มีประเด็นเรื่องการเมือง เรามีโลกใบเดียว เราต้องก้าวข้ามพรมแดนแล้วร่วมมือกันเพื่อหาทางออก นักการเมืองต้องทำงานร่วมกัน แม้แต่พวกเราทุกคนบนโต๊ะนี้ก็สามารถลงมือทำบางอย่างได้ และสำหรับ Bright กับ Seven Sisters แล้ว ฉันว่ามันมีทั้งแอคชั่น มันสนุก และบันเทิง ขณะเดียวกันก็สะเทือนอารมณ์และมีแก่นที่ลึกไปกว่านั้น
เอาล่ะ ถ้าคุณเป็น Bright ในโลกจริง คุณจะสร้างโลกแบบไหน
ฉันว่าปัญหาการเหยียดผิวเป็นหนึ่งเรื่องที่แย่ที่สุด มันทำให้ฉันหัวเสีย ล่าสุดฉันได้ดูหนังเรื่อง Mudbound ของ Netflix นี่แหละ ได้ดูกันหรือยังนะ มันทำเอาฉันใจสลายเลย ปัญหาเรื่องนี้ยังมีอยู่ในหลายประเทศ ถ้าเกิดฉันเป็น Bright ขึ้นมาจริงๆ ฉันก็อยากจะเสกให้เรื่องการเหยียดทั้งหลายนี่หายไปซะ
เพราะสำหรับฉันแล้ว ฉันมองเห็นความสวยงามในความแตกต่างเสมอมา เราอยู่ในโลกสมัยใหม่ ยังคิดอยู่ได้ไงว่าสีผิวทำให้เราแตกต่าง มัน stupidity มากเลยนะ
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้ เป็นการสัมภาษณ์แบบ Round table ในงาน Bright Japan & APAC Press Conference & Japan Premier Event ณ กรุงโตเกียว โดยผู้สัมภาษณ์เป็นสื่อทั้งจากฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย รวมทั้งตัวผู้เขียนเอง เมื่อนำมาแปลจึงได้ตัดทอนบางคำถามและเรียบเรียงอีกครั้งเพื่อความกระชับและลื่นไหลในการอ่าน