ช่วงเวลา 20 ปีที่ Scrubb ได้สร้างผลงานที่เป็นหมุดหมายแห่งความทรงจำให้กับเรา สำหรับบางคนคือครึ่งชีวิต บางคนอาจเป็นเกือบทั้งช่วงชีวิต อาจเป็นระยะเวลาปกติของการใช้ชีวิต แต่ถือว่ายาวนานสำหรับการทำเป็นวงดนตรีที่ยังคงยืนหยัดสร้างสรรค์ผลงานจนวันนี้ และเพลงของพวกเขาไม่เคยหายไปไหนเลย
เรายังได้ยินเพลงของ Scrubb ตามสถานที่ต่างๆ ที่เราไป ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงเข้าสู่ชีวิตทำงาน เพลงของพวกเขาเติบโตมาพร้อมกับเราที่โตขึ้นเช่นกัน แต่เพลงเหล่านั้นก็ยังไม่เคยหายไปไหน ยังคงอบอวล ล่องลอย อยู่ในบรรยากาศ ถูกหยิบมาใช้ในจังหวะที่ใช่อยู่เสมอ
กลับมาพูดคุยกับพวกเขาอีกครั้ง ในวันที่ Scrubb เดินทางมาค่อนข้างไกล ในระยะเวลาเหล่านั้น อะไรทำให้เพลงของ Scrubb และพวกเขาอยู่กับเราได้นานขนาดนี้ ด้วยการพูดคุยแบบธรรมดา ถึงบทเพลงธรรมดา ‘วันนี้เป็นไงบ้าง Scrubb สบายดีไหม?’
ยิ่งธรรมดา ยิ่งเข้าถึงง่าย จึงอยู่ได้นาน
เรายังได้ยินเพลง Scrubb ในหลายๆ ที่ ทำไมเพลงเหล่านี้ถึงยังฮิตอยู่เสมอ?
เมื่อย : พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ อาจจะเพราะพวกเราทำมันด้วยตัวเราเองแหละมั้ง มันก็เลยมีเอกลักษณ์ของมัน เป็นเพลงที่มันไม่ได้เป็นเหมือนใคร อาจจะเป็นข้อดีบางอย่างของมัน ทำให้คนอยากฟังแบบเนี้ย ก็ต้องฟังเพลงของเรา
อาจไม่ใช่เพลงที่สมบูรณ์แบบมาก แต่มันก็มีเรื่องจริงๆ ของเราอยู่ในนั้น มีอารมณ์ของเรา ที่เราแต่ง ณ ช่วงนั้น อยู่ในนั้น
บอล : เราเป็นคนที่ไม่ได้เก่งขนาดที่จะจินตนาการ คิด สร้างเพลง หรือเล่าเรื่อง ในมุมที่มันมีเชิงอะไรเป็นพิเศษมากๆ เรื่องเล่าของเรามันเป็นเรื่องรอบตัว เป็นเหมือนไดอารี่ของเพื่อน ของพี่ ของคนรู้จัก มันธรรมดาเพราะเรามีทักษะแค่นั้น
กลับกัน พอมันธรรมดา เลยอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใครใช้ชีวิตธรรมดาแบบเรา เขาก็อาจรู้สึกหรือจับต้องได้ เป็นความธรรมดาที่เรียบง่าย ใครก็เข้าถึงได้ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เพลงมันเล่าอยู่ มันก็เลยยังลอยๆ อยู่ในบรรยากาศ ในสิ่งแวดล้อม ในบางที่
ผมกับเมื่อยแต่งเพลงจากบรรยากาศ ความรู้สึกในตอนนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องมหภาค หรือเรื่องใหญ่โต ระดับคนหมู่มากเปลี่ยนแปลงสังคมอะไรได้อยู่แล้ว เราคุยกันวันนี้ เราอาจจะบันทึกเป็นเพลงไว้ว่าวันนี้คุยกับสนุกจัง ได้คุยกับเรื่องนู้นเรื่องนี้ เรื่องแค่นี้เลย วันนึงอาจมีคนนั่งคุยกันแบบนี้ แล้วเพลงนั้นอาจไปสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นก็ได้
ส่งต่อเรื่องราว ความทรงจำ ผ่านบทเพลง
เพลงเหล่านั้น เดินทางผ่านเวลามาได้อย่างไร?
บอล : บางเพลงที่ไม่ได้โปรโมตแล้ว ไม่ได้อยู่ในยุคนี้แล้ว บางคนอาจเลิกทำเพลงไปแล้ว แต่เด็กเล็กๆ ยังชื่นชอบ ยังฟังเพลงของพวกเขาอยู่เลย คำนึงที่เรานึกถึงคือคำว่า ‘มันถูกส่งต่อมา’ จากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เคยฟังในรถตอนไปส่งลูกที่โรงเรียน อันนี้ได้ยินบ่อยมาก เคยถามน้องๆ ว่า รู้จักเราได้ยังไง ‘อ๋อ คุณพ่อเปิดให้ฟัง’ หรือ ฟังจากในห้องนอนที่นอนกับพี่ชาย ฟังจากที่เพื่อนแชร์ต่อ
หรือแม้แต่เวลาที่เพลงของเราเป็นแรงบันดาลใจให้นักคิด นักสร้างสรรค์ อย่าง น้องจิตติ ที่เป็นคนเขียนนิยาย คั่นกู ‘เพราะเราคู่กัน’ เริ่มจากที่เขาชอบเพลงเรา เอาเพลงเราเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน อยู่ๆ ก็มีคนชอบ มีสำนักพิมพ์มาติดต่อตีพิมพ์เป็นหนังสือ หนังสือขายดีก็มีช่องมาติดต่อไปทำเป็นซีรีส์ สุดท้ายพอซีรีส์ประสบความสำเร็จ ก็มีคนที่ไม่น่าจะรู้จักเราเลย ก็มาหาว่าเพลงนี้มันเพลงของใคร ก็วนกลับมาเจอเรา
บางคนที่เพิ่งมาฟังเพลงเรา ณ วันนี้ เราอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้อง หรือในชีวิตจริงเราแทบไม่มีโอกาสได้รู้จักกันเลย การส่งต่อมันทำให้บางคนกลับมาเจอกันเฉยเลย
เพราะต่างกัน จนกล้าที่จะมองข้ามข้อเสียกัน
สังเกตว่าทั้งคู่ค่อนข้างแตกต่างกัน ทำไมต่างกันแต่ยังอยู่ด้วยได้กันนาน?
เมื่อย : ถ้ามีของสองอย่าง พี่บอลต้องเลือกอีกอย่างที่ผมไม่ชอบแน่ๆ แล้วผมก็จะเลือกอีกอย่าง มันจะเป็นอย่างนั้นแหละ มันกลายเป็นว่า เราทำงานจนถึงจุดที่ว่า สมมติมีเรื่องต้องตัดสินใจ ผมอาจจะไม่ชอบนะ แต่พี่บอลโอเค ผมก็จะปล่อยจอยเลย มันมีจุดที่เรียกว่าเชื่อใจกันว่าเราทั้งคู่จะไม่ปล่อยงานที่มันไม่ดีหรอก
เราอยู่กันไปจนเห็นข้อดีของความแตกต่าง ตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่นคนนึงที่โตขึ้นมา ก็อยากทำงานกับคนที่คิดเหมือนกัน พอเจอคนที่คิดไม่เหมือนกัน ก็รู้สึกทำไมนู่นนั่นนี่ตามวัย ข้อเสียของการคิดไม่เหมือนกัน คือมันอาจทะเลาะกันได้ทุกเวลา ทุกนาที ทุกการตัดสินใจ
แต่พองานถูกมองด้วยมุมที่แตกต่างกัน อย่าง Scrubb จะมีเพลงที่มีส่วนผสมของผม พี่บอล พี่ฟั่น โปรดิวเซอร์ อย่างเพลงเข้ากันดี มันเป็นตัวอย่างของเพลงที่ทุกคนมีพื้นที่ในการทำงานพอๆ กัน มันถูกมองด้วยมุมมองของคนที่คิดไม่เหมือนกัน 3 คน ตอนทำมันไม่รู้หรอกจะออกมาเป็นไง แต่พอออกมา มันเป็นเพลงนึงที่คนชื่นชอบ เล่นทุกครั้งก็สนุก พอเราคิดเพลงต่อจากนี้ เพลงไหนก็ตามที่มีพื้นที่การทำงานของหลายคนพอๆ กัน มันก็มักจะได้รับความนิยมเสมอ
เพราะไม่อยากเป็นแค่ตู้เพลง จึงต้องปรับตัว
ร้องเพลงมายี่สิบปี ทำยังไงไม่ให้เบื่อ?
เมื่อย : ไม่เบื่อหรอ อืม จริงๆ ก็เบื่อบ้าง มันก็เป็นปกติแหละ มันเป็นความฝัน อยากเล่นดนตรีใช่มั้ย แล้ววันนึงเราได้ทำมันจริงๆ ทำจนอ้วกเลยอะ โห ทำทุกวัน จนเคยรู้สึกเป็นหุ่นยนต์เหมือนกัน แต่พอมันโตขึ้นไประดับนึง มันเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นอาชีพของเรา
ผมเชื่อว่าทุกวงมีความรู้สึกอย่างนี้นะ เวลาเล่นเพลงอะไรก็ตามที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็ต้องเล่นมันทุกวัน แล้วก็เบื่อจนไม่อยากจะเล่นมัน เพราะว่ามันเลี่ยน แต่ว่าต้องเปลี่ยนมุมมอง เรารู้สึกว่า ต้องทำไงก็ได้ให้โชว์ทุกครั้งของเราสดชื่น หรือไม่อาจจะสุดโต่งไปเลยว่า ทำไงก็ได้ให้เหมือนเล่นครั้งสุดท้าย
ประสบการณ์สั่งสอนแหละ ให้เราปรับวิธีคิด ไม่ใช่ไม่เบื่อ กว่าจะผ่านความเบื่อมา ก็ต้องปรับวิธีคิดพอสมควร เพื่อที่จะให้ทุกครั้งเราสดชื่น พี่บอลเขาจะดูแลเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ ปรับการเล่น เปลี่ยนเพลงนู้นเพลงนี้ออก ถ้าไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ เพื่อให้คนดูสดชื่น ไม่ให้วงเราเหมือนตู้เพลงเกินไป
หลังจากนี้ เป็นการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ชีวิตการทำงาน เพลงใหม่ๆ ในวงการ ไปจนถึงเรื่องการเมือง เวลาชั่วโมงกว่าๆ นี้ ทำให้เราอิ่มเอมเช่นเดียวกับเพลงของเขาเติมเต็มให้เราเสมอมา และบทสนทนานี้ ทำให้เรารู้ว่า Scrubb ที่เรารู้จักในวันนั้น ยังคงสบายดีและเติบโตขึ้นเหลือเกินในปีที่ 20 ของพวกเขา