จบไปแล้วสำหรับซีรีส์หัวเรือระดับปรากฏการณ์ฮิตทั่วบ้าน ทั่วเมือง และทั่วโลก ที่มีคนรอคอยเยอะที่สุดเรื่องหนึ่งของ Netflix และนับวันคนดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่าง ‘Stranger Things’ ที่ซีซั่น 4 มาแปลก แยกเป็นสองช่วง เนื่องจากต้องใช้เวลาทำนานกว่าซีซั่นอื่นๆ ในทุกขั้นตอน รวมไปถึงมีช็อต CGI และทุนสร้างมากที่สุดในบรรดาทุกซีซั่นก็ด้วยเช่นกัน
สำหรับซีซั่นนี้เป็นซีซั่นที่มีความแปลกตาและให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ตั้งแต่การแยกเส้นเรื่องเป็น 4 เส้น, แนวทางความสยองที่ทำให้ลืมไปเลยว่าเนื้อเรื่องจริงจังขึ้นตามอายุเด็กๆ นักแสดงนำ, พลังวายร้ายที่เป็นภัยคุกคามในแบบที่ไม่คุ้นเคย, ความสเกลใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ ที่ไม่ได้เป็นแค่ ‘เด็ก’ อีกต่อไป กับโลกที่กำหนดโดยชะตากรรมโดย ‘เด็กวัยรุ่น’ เหล่านี้ มากกว่านี้มากกว่าที่เคย
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ หรือต้องเน้นเป็นพิเศษคือเรื่องราวของมหาวายร้ายอย่าง ‘เวคน่า (Vecna)’ ที่มีความสำคัญต่อทิศทางเนื้อเรื่องของ Stranger Things ในระดับทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อจากนี้
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ ซีรีส์ Stranger Things ซีซั่น 4)
“They’re not kids anymore” เป็นประโยคที่แฟนๆ Stranger Things มักจะพูดทุกๆ ซีซั่นที่ได้เห็นภาพเด็กๆ ในงานพรีเมียร์กับในซีรีส์ เพราะพวกเขาดูเติบโตขึ้นอย่างผิดหูผิดตาสไตล์เด็กฝรั่ง แต่สำหรับซีซั่น 4 ประโยคนี้ดูจะเป็นคำอธิบายที่แม่นยำเที่ยงตรงที่สุด เพราะตอนนี้เด็กๆ ขึ้นระดับชั้นไฮสคูล เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่ของเด็กๆ แต่เป็นของ ‘กลุ่มวัยรุ่น’ ไปซะแล้ว
แต่ถ้าหากจะเป็นแค่การเติบโตในเรื่องของกายภาพก็คงไม่ใช่ซีรีส์ coming-of-age ที่ทำให้คนดูรู้สึกเสมอว่าเหมือนเฝ้าดูการเติบโตของพวกเขาไปพร้อมๆ กันในทุกซีซั่นเรื่องนี้ เพราะมันเกี่ยวโยงกับพัฒนาการและบทบาทของตัวละครทางตรงเลยครับ การเล่าเรื่อง ‘การเติบโต’ผ่านเส้นเรื่องสี่เส้นของ Stranger Things ซีซั่น 4 ที่ประกอบไปด้วย เส้นของแอล, เส้นเรื่องรัสเซีย, เส้นเรื่องที่เมืองฮอว์กินส์ (Hawkins) และเส้นเรื่องที่ L.A.
ทั้งสี่เส้นเรื่องพูดถึงการเติบโตทั้งสิ้น เป็นการแยกเส้นเพื่อที่ให้เราเห็นว่า บางคนเติบโตไปในทิศทางอื่น, บางคนก็ยังคงเติบโตที่เดิมและเติบโตไปในทิศทางเดิม, บางคนห่างเหิน และบางคนรู้ว่าตัวเองสู้และมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเหตุผลอะไร
โดยการเติบโตที่จะเรียกว่าแกนกลางของเรื่องราวก็ว่าได้ อีเลฟเว่น (Eleven) หรือแอลที่แยกไปทำการทดลองฟื้นความจำและดึงพลังกลับมา ซึ่งสื่อให้เห็นว่า ก่อนจะเติบโตเป็นตัวเองที่แข็งแกร่งขึ้น ต้องยอมรับก่อนว่า อดีตของเธอกับชีวิตของเธอที่ห้องแล็ปเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นหน้ากระดาษในหนังสือชีวิต ตราบใดที่ไม่ระลึกและจดจำมัน และไม่โอบรับว่าอดีตสุดช็อคเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง เธอก็จะไม่มีวันเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
“ถึงเวลาที่เราต้องมีเฟรดดี้ ครูเกอร์ และเพนนีไวส์ ของเราเองบ้างแล้ว”
นอกจากเรื่องเส้นเรื่องและการแยกเล่าเรื่องในหลายสถานที่ผ่านหลายตัวละครและหลายความขัดแย้งที่ต้องเผชิญ กับการแทรกความเมามารีฮวนน่า (กัญชา) ซึ่งเคยมีให้เห็นในซีรีส์เรื่องนี้มาก่อนแล้ว องค์ประกอบที่ทำให้ Stranger Things ซีซั่น 4 มีความแตกต่างจากซีซั่นที่แล้วคือความสยองขวัญที่ทำให้ลืมไปเลยว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์เด็กอีกแล้ว (หรือดูจากฉากสยองที่น่ากลัวเอาเรื่องในซีซั่นที่ผ่านมา มันก็ไม่ได้เป็นซีรีส์สำหรับเด็กอยู่แล้วนะ)
Stranger Things ซีซั่น 4 กับวายร้ายประจำซีซั่นอย่างเวคน่า เป็นซีซั่นและตัวร้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญคลาสสิกหลายเรื่องครับ ไม่ว่าจะเป็น A Nightmare on Elm Street กับ เฟรดดี้ ครูเกอร์ (Freddy Krueger) นิ้วเขมือบ, เพนนีไวส์ (Pennywise) จาก IT, หัวตะปู Pinhead จากหนัง Hellraiser, Poltergeist, และ Alien 3 ผสมกลิ่นอายที่สังเกตเห็นได้ว่าคลับคล้ายคลับคลาอย่าง The Haunting of Hill House โดยทั้งหมดมาจากไอเดียที่สองผู้สร้างพี่น้องดัฟเฟอร์ (Duffer Brothers) มีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนว่าต้องการมีวายร้ายสไตล์เฟรดดี้ผสมตัวลกเพนนีไวส์ (Pennywise) เป็นของตัวเอง
บิ๊กบอสประเภทที่พูดจาประมาณว่า “You can run, but you can’t hide” อย่างเวคน่าจึงเป็นตัวร้ายที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นฝันร้ายที่ไม่ใช่ของเด็กๆ แต่เป็นของ ‘เด็กที่เติบโต’ และเหตุผลที่สยองกว่าเดิมก็เพราะว่าเด็กที่โตขึ้น จะมีการจดจำ ความรู้สึกผิด ประสบการณ์ และเรื่องที่อยากกลับไปแก้ไขมากกว่านั่นเอง ยิ่งเติบโตมากเท่าไหร่ ยิ่งอันตราย ยิ่งทุกข์ระทมกับอดีตและเสียดาย และในขณะเดียวกันถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้วก็จะข้ามผ่านมันไปได้ง่ายขึ้น บรรยากาศซีซั่นนี้เลยออกมาแนวสยองขวัญ-จิตวิทยาซะมากกว่า โดยที่เหยื่อของจอมวายร้ายคือ ‘เด็กวัยกำลังโต’
ถึงจะแตกต่างออกไป แต่ Stranger Things ซีซั่น 4 ยังคงองค์ประกอบหลายอย่างเอาไว้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มตัวละครใหม่ที่คนดูรักเข้ามา หรือการใส่เพลงจากยุค 70s-80s ที่ซีรีส์เรื่องนี้หาทางให้มาเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างแนบเนียน เพราะเพลงคือสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งนึกถึงความเป็นตัวเองและยังคงสติเอาไว้ได้ มันจึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจหรือประตูทางออกที่ปลุกให้คนตื่นจากฝันร้ายของ Vecna ให้อยู่กับโลกความจริง
ซีซั่นนี้เพลงที่ถูกพูดถึงเยอะที่สุดคงหนีไม่พ้น Running Up That Hill ของ เคท บุช (Kate Bush) ที่หลังจากซีรีส์ลง Netflix และในตอนที่ 4 ได้มีฉากในตำนานคือฉาก ‘แม็กซ์วิ่ง’ ที่การกำกับ จังหวะการตัดต่อ และเพลง ทั้งหมดผสานกันจนทำให้ฉากนี้ออกมาเข้มข้น ชวนลุ้น และถึงอารมณ์สุดๆ เพลงก็กลับไปติดชาร์ตและคนกลับมาฟังกันทั่วโลกจนยอดวิวพุ่งสูง ส่วนเจ้าของเพลงก็ได้เงินเป็นล้านปอนด์เข้ากระเป๋าเป็น passive income จนออกมาขอบคุณซีรีส์เลยทีเดียว
ทีนี้มาถึงสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในซีซั่นกันบ้างครับ นั่นก็คือวายร้ายที่ชื่อ ‘เวคน่า’ ที่รับบทโดย เจมี่ แคม์เบล บาวเวอร์ (Jamie Campbell Bower) หรือนักแสดงน่าจบตามองที่รับบท กรินเดลวัลด์ในแฟรนไชส์ Harry Potter กับรับบทเป็นแวมไพร์ใน Twilight Saga
เวคน่าคือผลผลิตของแรงบันดาลใจที่ผู้สร้างได้รับมา และนักแสดงคนนี้ก็พามันไปอีกเลเวลด้วยความทุ่มเททั้งการศึกษาตัวละคร แปะคำศัพท์เชิงควบคุมจิตใจ (manipulative) กับหน้าตัวละครหลักไว้เต็มห้อง, แปะรูปตัวร้ายจากหนังสยองขวัญไว้เต็มห้อง ไปจนถึงอัดเสียงตัวเองพูดหลอนๆและฟังเพลงเฮวี่เมทัลทุกวันเพื่อบิ้วท์ จนทำให้นักแสดงเด็กๆ ทุกคนที่เข้าฉากด้วยรู้สึกกลัวไปตามๆ กัน ถึงขั้นมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (Millie Bobby Brown) ร้องไห้ออกมาจริงๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อตอนอยู่ในเมคอัพเวคน่าที่ออกแบบโดยคนเดียวกับคนออกแบบไนท์ คิง (Night King) ในซีรีส์ Game of Thrones ด้วยแล้ว
ตัวละครเวคน่ามีประวัติที่น่าสนใจ และส่งผลต่ออารมณ์ในการรับชมซีซั่นนี้เป็นอย่างมาก ด้วยจุดหักมุมที่ว่า เขาคือหมายเลข 001 และยังเป็นคนเดียวกับ เฮนรี่ ครีล (Henry Creel) ลูกชายตระกูลครีลผู้อยู่เบื้องหลังทั้งการตายของแม่และน้องสาวตัวเอง, การตาบอดของคนพ่อ, การตายของเด็กๆ และที่ช็อคที่สุดมีอยู่สองจุด หนึ่ง เขาคือบิ๊กบอสของโลก upside-down ที่เป็นผู้สร้างแม้กระทั่ง มายด์ เฟลเยอร์ (The Mind Flayer) วายร้ายสองซีซั่นก่อนหน้าที่มาจากจินตนาการแห่งความเกลียดชัง กับสอง แอลเป็นคนสร้าง Vecna ขึ้นมา
“Stranger Things ซีซั่น 4 จึงเป็นการเผยธีมกับใจความที่แท้จริง ว่าซีรีส์เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของการเติบโต และการต่อสู้ระหว่างความเกลียดและความรักของเด็กสองคนที่มีมุมมองต่อโลกต่างกัน”
อันที่จริง character arc แบบนี้และพล็อตแบบนี้มีให้เห็นเยอะแล้วนะครับ ที่พวกหมายเลข 0 ไม่ก็ 1 หรือตัวละครประเภทศิษย์เอกที่เก่งกว่าคนอื่นจนไม่ถูกกล่าวถึงหรือถูกลบออกจากระบบ แล้วดันมาเข้าสู่ด้านมืด คล้ายคลึงสุดก็เห็นจะเป็น ลอร์ด โวลเดอร์มอร์ ใน Harry Potter ที่มีทั้งคุณสมบัติเด็กชายผู้มีพลังพิเศษ, เป็นผู้ถูกเลือก, เก่งเกินหน้าเกินตาคนอื่น, ต้องการกองทัพและแนวร่วมในการสร้างโลกใหม่ (ที่ต้องการการจัดระเบียบ), เบื่อโลก, มองว่าคนอื่นธรรมดาและกระจอกไปหมด และลุกมาเป็นผู้นำและคิดทำการปฏิวัติ
แต่พอนำโครงนี้มาเล่นในโลกของ Stranger Things ผสมกับการแสดงและตีความของเจมี่แล้ว นี่คืออีกหนึ่งเวอร์ชั่นของตัวร้ายสาย ‘เด็กอัจฉริยะ’ นี้ที่มีความน่าจดจำ และยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีกครับเมื่อนำไปเทียบเคียงกับอีเลฟเว่นที่เมื่อลงดีเทลแล้ว ชีวิตของคู่ทั้งเหมือนและทั้งแตกต่างในรายละเอียด
เพราะสำหรับอีเลฟเว่นเป็นเด็กที่ถูกพรากจากแม่และนำตัวมาทำลอง ใช้เวลาเกินครึ่งชีวิต (ก่อนซีซั่น 1 เริ่ม) อยู่ในแล็ป รู้จักแต่การต่อสู้ ชิงดีชิงเด่น เอาตัวรอด และใช้ชีวิตในฐานะผลผลิตของระบบ ทำได้-ได้รับผลตอบแทน (reward system) อย่าง ‘ไม่มีทางเลือก’ ในขณะที่ของเฮนรี่เขาก็ ‘ไม่มีทางเลือก’ เหมือนกัน แต่เพราะเขาไม่มองว่าสิ่งรอบตัวคือทางเลือกที่รู้สึกซาบซึ้งเป็นคุณค่าด้วยได้เลย ทั้งที่เขามีครอบครัวที่มีความสุขและชีวิตที่ปกติสุขอยู่แล้ว แต่การกระทำของเฮนรี่เองที่ส่งเขาไปทุกข์ทรมานในแล็ป จนขาดชีวิตวัยเด็กไป และยิ่งเกลียดโลกเข้าไปใหญ่
ชีวิตที่ทั้งเหมือนทั้งแตกต่างนี้ของเด็ก (ที่อีกคนหนึ่งคืออดีตเด็ก) ทั้งสองคนที่อุดมการณ์คนละแบบ นำพาทั้งคู่มาเจอกัน ปะทะกัน และเกิดเป็นความวินาศสันตะโรกับภัยคุกคามเมือง (ตอนนี้ถึงระดับโลก) ที่คนหนึ่งเห็นคุณค่าและเชื่อในความรักจึงอยากปกป้อง คนหนึ่งเห็นแต่ความขัดหูขัดตาและอยากทำลายให้สิ้นซาก อีเลฟเว่นเองที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องนี้กับเฮนรี่จะต้องเป็นคนปิดฉากมันด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สิ่งที่แตกต่างอย่างใหญ่โตที่สุดคือแอลมีเพื่อนๆ ในขณะที่เวคน่าตัวคนเดียว
นอกจากนี้แล้ว การมาและการเปิดเผยของเฮนรี่/001/เวคน่า ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงธีม ‘โลกอยู่ในกำมือเด็กๆ’ และ ‘เด็กๆ ต้องเติบโต’ ที่ตัว Stranger Things พูดถึงเรื่องนี้มาตลอดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งในครั้งนี้ซีรีส์ก็พูดเรื่องการเติบโตมากกว่าที่เคย และมันไม่ใช่แค่เรื่องของการเหินห่างหรือมิตรภาพ แต่เป็นการเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้าย เป็นเรื่องของความสูญเสียและความเจ็บปวด เพราะเราจะเติบโตได้อย่างไรโดยที่ไม่เคยเจ็บ ไม่เคยเรียนรู้ หรือไม่เคยมีบาดแผลเลย
ในซีซั่น 4 พอมีการแยกเส้นเรื่องไปที่รัสเซียและนำผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ไปทางนั้นซะหมดแล้ว นี่จึงเป็นซีซั่นแรกที่คราวนี้มีแต่เด็กวัยรุ่นวัยกำลังโตกลุ่มนี้ รับหน้าที่ ‘ปกป้องโลก’ ของจริง โดยต้องเผชิญกับทั้งตัวร้ายโลกกลับด้าน เผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนผ่านวัยและค้นหาตัวตน และเผชิญตัวร้ายที่เป็นมนุษย์ (กลุ่มยัดเยียดความคิดให้แก๊งบอร์ดเกมเป็นลัทธิบูชาซาตาน) ไปด้วยพร้อมๆ กัน เพียงลำพัง และเผชิญกันเอง
ผลลัพธ์ของศึกในซีซั่น 4 คือ ‘ความสูญเสีย’ ที่เป็นหนึ่งในก้าวของการเติบโต เพราะที่ผ่านมาซีรีส์ฆ่าตัวละครรัสเซียดูดสเลอปี้, แฟนใหม่แม่ไมค์ และบิลลี่ (Billie) ที่เป็นพี่ของคนในกลุ่ม ที่แม้น่าเศร้าแต่ก็ยังไม่ได้ใกล้กับเด็กๆ ขนาดนี้ แต่ซีซั่นนี้การสูญเสียที่เด็กๆ (วัยรุ่น) ต้องเจอ มีทั้ง ‘เอ็ดดี้’ ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มบอร์ดเกมของสมาชิกแก๊งมากกว่าหนึ่ง กับ ‘แม็กซ์’ ที่ตอนนี้แม้จะรอดตายแต่ก็อยู่ในสถานะน่าเป็นห่วง
หากให้พูดกันตามตรง ผู้สร้างดูจะประนีประนอมกับการฆ่าตัวละครพอสมควร แต่ก็เรียกได้ว่าซีซั่นนี้เด็กๆ เข้าใกล้ทั้งอันตรายและชัยชนะที่สุดกว่าที่เคยเข้าใกล้มาแล้วล่ะครับ เพราะที่ผ่านมาเผชิญกับภัยที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ในขณะที่ซีซั่นนี้พวกเขาได้รู้ความจริง และการแก้อยู่ตรงหน้าแล้ว (เดินทางไปถึงที่) แต่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มั้ยนั่นคือคำถามสำคัญ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ดีและน่าติดตามของ Stranger Things ถึงแม้ว่าช่วงแรกจะทำได้ดีมากเกินไป จนทำให้ช่วงสองดูจะแผ่วทางความรู้สึกไปโดยปริยาย ยิ่งเป็นการแบ่งช่วงที่บิ้วท์โดยผู้สร้าง ตัวอย่าง (ที่เปิดเผยฉากสำคัญ) และข่าวที่ปล่อยออกมาแต่ละข่าวด้วยแล้ว แต่ในการด้านกำกับและการสร้างอารมณ์ร่วม ก็ทำเอาคนดูพากันเสียน้ำตาให้ไปหลายหยด ในหลายฉาก และหลายโมเมนต์
เมื่อมองย้อนกลับไปดูซีซั่นที่ผ่านมาและเทียบกับซีซั่นนี้จะเห็นว่า ซีซั่นนี้เป็นอะไรที่ซีเรียสขึ้นเยอะ จากที่ไม่เคยสูญเสียคนใกล้ตัว ตอนนี้ทั้งสูญเสียและเข้าใกล้การสูญเสียมากกว่าที่เคย และจากที่อีเลฟเว่นไม่เคยแพ้ นี่คือครั้งแรกที่แพ้ ตอนนี้ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมแล้ว จึงแน่นอนว่าหากจะมีใครซักคนยืนแถวหน้าและทำหน้าเครียดที่สุดกับฉากจบก็คงหนีไม่พ้นตัวละครนี้ ที่แบกรับทั้งอดีตที่ตัวเองมีส่วนสร้างเวคน่าและเปิดประตูมิติ ทั้งปัจจุบันที่ยังเก่งไม่พอ และอนาคตที่ตอนนี้เส้นที่กั้นอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกกลับด้านได้ขาดสะบั้นลงแล้ว