‘กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศที่สุดในปฐพี…’
ประโยคสุดคลาสสิก ซึ่งเชื่อว่าใครที่ได้ยินก็คงต้องนึกถึงเรื่องราวของหญิงสาวผู้งดงามกับราชินีใจร้าย รวมถึงแอปเปิลอาบยาพิษแน่นอน
‘สโนว์ไวท์ (Snow White)’ เรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังในวัยเด็กของใครหลายคน กลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้งในเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็กชั่น ที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและมนต์เสน่ห์แห่งเทพนิยาย ซึ่งถูกใส่เสริมแต่งเติมเพิ่มเข้ามาจากเวอร์ชั่นเดิมของดิสนีย์ กลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชวนให้เราได้ติดตามกัน
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า สโนว์ไวท์ ไม่ใช่ตัวละครใหม่แกะกล่องแต่อย่างใด เรื่องราวเจ้าหญิงผู้นี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายเวอร์ชั่น ถึงแม้แต่ละเวอร์ชั่นจะมีแก่นเรื่องเดียวกัน แต่กระนั้นก็ยังมีเนื้อเรื่องและรายละเอียดหลายจุดที่แตกต่างกันออกไป ตามค่านิยมและกรอบแนวคิดของผู้คนตามยุคสมัยต่างๆ
สโนว์ไวท์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความงามและแอปเปิลอาบยาพิษ เพราะมันอาจมีเรื่องราวอีกมากมาย ซุกซ่อนเอาไว้เบื้องหลัง รอให้เราได้เปิดเทพนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อออกสำรวจกันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเทพนิยายคือเรื่องของความรุนแรงและความโหดร้าย กับสโนไวท์ของสองพี่น้องกริมม์
หากจะพูดถึงสโนว์ไวท์ นอกจากเวอร์ชั่นของดิสนีย์ที่เราคุ้นเคยแล้ว คงจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะไม่พูดถึงเวอร์ชั่นของ ‘สองพี่น้องกริมม์’ อย่าง ยาค็อบ กริมม์ (Jacob Grimm) และ วิลเฮล์ม กริมม์ (Wilhelm Grimm) ซึ่งได้รวบรวมคติชนและเรื่องเล่าท้องถิ่นมาใส่เสริมเติมแต่งเพิ่ม ซึ่งก็รวมถึงเรื่องราวของสโนว์ไวท์ด้วย โดยทั้งคู่ได้บันทึกเอาไว้ใน ‘Kinder-und Hausmärchen’ (1812) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เทพนิยายกริมม์
สโนว์ไวท์ของพี่น้องกริมม์ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่เกิดมาจากคำอธิษฐานของผู้เป็นแม่ ที่ต้องการให้ลูกของตนมีผิวขาวดุจหิมะ ปากแดงดั่งเลือด และผมดำราวกับไม้มะเกลือ ซึ่งหลังจากที่เธอเกิดมา แม่แท้ๆ ก็ได้เสียชีวิตลง ทำให้พระราชาผู้เป็นพ่อพาราชินีแม่เลี้ยงเข้ามาอยู่ด้วยแทน โดยราชินีคนใหม่เป็นผู้ที่หลงใหลในความงามเป็นอย่างมาก เธอจึงมักถามกับกระจกวิเศษของตนอยู่เสมอถึงบุคคลที่งามสุดในปฐพี และคำตอบก็มักจะเป็นเธอเรื่อยมา
จวบจนกระทั่ง วันที่สโนว์ไวท์เติบโตขึ้นอายุ 7 ปี คำตอบก็ผันแปรเปลี่ยนมาเป็นชื่อของเจ้าหญิงตัวน้อย จนราชินีอิจฉาริษยาและต้องการกำจัดเธอทิ้ง จึงสั่งให้นายพรานพาเธอไปฆ่าในป่า ทว่าด้วยความงดงามของเธอ นายพรานจึงเกิดความสงสารและปล่อยสาวน้อยให้หนีเข้าไปในป่า สโนว์ไวท์ระหกระเหินอยู่ในป่า จนได้พบกับกระท่อม ซึ่งเต็มไปด้วยของใช้ชิ้นเล็ก ตัวของสาวน้อยได้แอบกินอาหารและนอนบนเตียงของเจ้าของกระท่อม ด้วยความหิวโหยและเหนื่อยล้า
เมื่อคนแคระทั้ง 7 ผู้เป็นเจ้าของกระท่อม ก็ได้พบกับสโนว์ไวท์ พร้อมกับรู้เรื่องราวการปองร้ายของราชินี จึงได้กำชับไม่ให้สาวน้อยคุยกับใครเป็นอัดขาด ถึงกระนั้น ราชินีใจร้ายก็ได้เดินทางมาหาสโนไวท์ เพื่อฆ่าเธอถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกใช้ผ้ารัดคอให้ตาย ครั้งถัดมาใช้หวีอาบยาพิษสางไปบนหัว ครั้งสุดท้ายกับการมอบแอปเปิลอาบยาพิษให้เธอกัด
หลังจากที่เหล่าคนแคระกลับมาที่กระท่อม แล้วพบกับร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจของสโนว์ไวท์ พวกเขาก็เข้าใจว่าสาวน้อยตายจากพวกเขาไปแล้ว บรรดาคนแคระจึงนำร่างของเธอใส่ไว้ในโลงแก้วกลางป่า จนกระทั่งเจ้าชายมาเจอและเกิดหลงใหลในหน้าตาของสาวน้อย จึงได้ขอร่างของสโนว์ไวท์ไป คนรับใช้แบกร่างของหญิงสาว แต่ในระหว่างทางคนใช้ดันสะดุดล้มเข้า จึงทำให้แอปเปิลที่ติดคออยู่หลุดออก สโนว์ไวท์ตื่นขึ้นมาพบกับเจ้าชาย ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในท้ายที่สุด
แต่เรื่องมันยังหมดเพียงเท่านี้ หลายอาณาจักรได้รับบัตรเชิญให้ร่วมงานแต่งระหว่างทั้งคู่ ตัวของราชินีใจร้ายเองก็ด้วยเช่นกัน เธอจึงได้ถามกับกระจกเฉดเช่นเดิมเหมือนในทุกๆ วัน แต่คราวนี้ กระจกกลับตอบว่า “ราชินีสาวงดงามกว่า” ราชินีจึงต้องการไปให้เห็นกับตา ทว่าเมื่อไปถึงราชินีก็ถูกจับเอาไว้ พร้อมโดนบังคับให้ใส่รองเท้าเหล็กร้อนๆ เต้นรำในงานแต่ง จนสิ้นใจตาย เป็นอันการจบเรื่องราวสโนว์ไวท์ในเวอร์ชั่นของสองพี่น้องกริมม์
มาถึงตรงนี้ ทุกคนก็อาจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่มันคือนิทานหรือเทพนิยายสำหรับเด็กได้อย่างไร ทั้งการใช้ความรุนแรง ความโหดร้าย หรือกระทั่ง การสร้างจุดจบให้ราชินีต้องตายแบบทุกข์ทรมาน ถ้าคุณพ่อคุณแม่มาอ่านให้ฟังก่อนนอน คงต้องมีหลอนแล้วนอนไม่หลับกันบ้าง
จะเห็นได้ว่าในเนื้อหาของสโนว์ไวท์ของกริมม์ ไม่ได้มีเนื้อหาที่ซับซ้อนหรือยากเกินเข้าใจเลย เนื่องจากจริงๆ แล้ว นิทานของสองพี่น้องกริมม์ ตลอดจนนิทานและเรื่องเล่าในช่วงศตวรรษที่ 19 ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิงในการอ่านเพียงเท่านั้น แต่มันคือเครื่องมือสำหรับใช้สั่งสอนเหล่าเด็กๆ ผ่านการแบ่งแยกระหว่างความดี-ความชั่วให้ชัดเจน พร้อมกับใช้ความกลัวมาเป็นส่วนสำคัญในการเตือนให้เด็กๆ ต้องประพฤติตัวให้ดี รวมถึงเกรงกลัวต่อการทำความชั่ว มิฉะนั้นก็อาจมีจุดจบเหมือนตัวร้ายในนิทาน
ดังนั้นแล้ว หากย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาตอนนั้น เมื่อต้องสอนลูกให้รู้จักความดีความชั่วอย่างเป็นรูปธรรม การเลือกหยิบนิทานของกริมม์ขึ้นมาเล่า ก็คงจะช่วยให้เด็กเห็นภาพชัดเจนมากที่สุดแล้ว
สโนว์ไวท์กับการเป็นตัวแทนของหญิงสาวในอุดมคติ
มากันที่สโนว์ไวท์เวอร์ชั่นที่ทุกคนคุ้นตากันมากที่สุด ‘สโนว์ไวท์ กับ คนแคระทั้ง 7’ (1937) ของดิสนีย์ ซึ่งมันไม่ใช่เพียงการ์ตูนเจ้าหญิงสำหรับเด็กน้อยเท่านั้น แต่มันยังแฝงไปด้วยแนวคิดบางอย่างในเรื่อง ที่นำไปสู่การตีกรอบสังคมด้วย
ก่อนอื่น เราอาจจะต้องมาทบทวนเรื่องราวของสโนว์ไวท์กันก่อนสักเล็กน้อย โดยเรื่องราวของสโนว์ไวท์ของดิสนีย์ ไม่ได้มีเค้าโครงแตกต่างจากกริมม์มากเท่าไหร่นัก ทว่าอาจจะมีบางจุดที่นำมาสร้างและตีความหมายใหม่ เฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของความโหดร้ายและความรุนแรงภายในเรื่อง
สโนว์ไวท์ในเวอร์ชั่นนี้ จึงไม่ได้โดนราชินีใจร้ายตามฆ่าถึงสามครั้งสามคราเหมือนของพี่น้องกริมม์ แต่ราชินีปลอมเป็นหญิงชราและใช้กลอุบายหลอกล่อให้สโนว์ไวท์กินแอปเปิลอาบยาพิษแทน รวมถึงตัวของเจ้าชายผู้มาช่วยสโนว์ไวท์เองก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เดินผ่านมาในป่า เพราะทั้งคู่ได้พบหน้ากันตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องแล้ว
จุดท้ายสุดที่ถูกเปลี่ยนมาจากฉบับของสองพี่น้องกริมม์คือ จุดจบของราชินีใจร้าย ในเวอร์ชั่นของดิสนีย์ ตัวเธอไม่ต้องสวมรองเท้าเหล็กร้อนๆ แต่เธอจะพลาดท่าตกหน้าผาไปพร้อมกับโดนหินก้อนยักษ์หล่นทับแทน
ทั้งนี้ ดิสนีย์ได้แทนที่ภาพจำความรุนแรงตามฉบับของกริมม์ ด้วยการสร้างภาพของผู้หญิงในอุดมคติขึ้นมาผ่านตัวละครสโนว์ไวท์ในแง่มุมต่างๆ โดย ลาติฟาห์ ดวี อาริยานี (Latifah Dwi Ariyani) อาจารย์จากภาควิชาภาษาอังกฤษ ของ Universitas Sains Al-Quran ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ การนำเสนอภาพของผู้หญิงผ่านสโนว์ไวท์ ได้อธิบายว่า สโนว์ไวท์ถูกใช้เป็นภาพแทนของความสวยของผู้หญิงในยุคนั้น ผ่านการนำเสนอรูปร่างของสโนว์ไวท์ให้มีผิวขาวดุจดั่งหิมะ รวมถึงมีริมฝีปากแดงสวยราวกับดอกกุหลาบ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานความสวยตามที่กระจกวิเศษได้ยกให้เธอเป็นผู้หญิงที่งามที่สุด แม้แต่ราชินีเองยังต้องอิจฉาในความงดงามของเธอ
นอกจากนี้ ตัวของสโนว์ไวท์ยังถูกใช้เป็นตัวแทนของผู้หญิงในอุดมคติในช่วงทศวรรษที่ 1930 ด้วยเช่นกัน โดยภายในเรื่อง สโนว์ไวท์จะถูกบรรยายว่าเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ ทำความสะอาด ทำอาหารเก่ง ตลอดจนวางตัวเรียบร้อยและสุภาพ สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของผู้หญิงในยุคนั้น จากหลักฐานเกี่ยวกับมาตราฐานการประเมินผู้หญิงในฐานะคู่สมรส ซึ่งได้บ่งชี้ว่าผู้หญิงจะต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นแม่ศรีเรือน ทำงานบ้านได้ครบถ้วน วางตัวให้เหมาะสม และดูแลลูกๆ ได้ดี โดยในที่นี้อาจเปรียบได้กับการดูแลคนแคระในเรื่อง
ด้วยเหตุนี้ สโนว์ไวท์จึงไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของผู้หญิงในยุคดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงอุดมคติทางเพศของสังคม ที่พยายามกำหนดบทบาทและความเป็นผู้หญิงให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสมตามค่านิยมของยุคสมัย
มุมมองต่อผู้หญิงที่เปลี่ยนไปใน ‘Snow White and the Huntsman’
นอกจากสายโหดอย่างเวอร์ชั่นของสองพี่น้องกริมม์ หรือเวอร์ชั่นสาวน้อยของดิสนีย์แล้ว อีกหนึ่งเวอร์ชั่นซึ่งน่าจดจำไม่น้อย สำหรับสโนว์ไวท์ คือ ‘Snow White and the Huntsman’ (2012) กับ การพลิกเรื่องราวเจ้าหญิงผู้อ่อนแอ ที่ต้องหลบหนีจากการถูกไล่ล่า มาเป็นหญิงสาวผู้พร้อมจะลุกขึ้นสู้กับราชินีใจร้าย
แม้เค้าโครงเรื่องในส่วนของตัวละครจะคล้ายคลึงกับ 2 เวอร์ชั่นก่อนหน้า แต่เนื้อเรื่องโดยรวมของสโนว์ไวท์ภาคนี้กลับแตกต่างออกไปมากพอสมควร โดยราชินีแห่งความชั่วร้ายได้ทำการยึดอาณาจักรของพระราชาผู้เป็นพ่อของสโนว์ไวท์ แถมยังอิจฉาริษยาในความงดงามของสโนว์ไวท์ด้วย จนตัดสินใจส่งพรานป่าไปสังหารเธอทิ้ง ทั้งนี้ทั้งนั้น พรานป่าไม่ได้ทำตามคำสั่งของราชินี ทว่ากลับซุ่มซ้อมการต่อสู้ให้กับเจ้าหญิงแทน เพื่อให้เธอมีฝีมือกล้าแกร่งพอจะกลับไปทวงบัลลังก์จากราชินีคืน
ด้วยการนำเสนอภาพลักษณ์ที่หาญกล้าและเข้มแข็งของสโนว์ไวท์ จึงได้ทำลายภาพจำของสโนว์ไวท์ในฐานะเจ้าหญิงผู้อ่อนแอและต้องรอคอยเจ้าชายมาช่วยไป งานศึกษาเดิมของ ลาติฟาห์ ดวี อาริยานี ได้ชี้ให้เราเห็นว่า หนังเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงสามารถขึ้นมาอยู่ทัดเทียมกับผู้ชายได้ แถมยังทำในสิ่งที่ผู้ชายทำได้เช่นกัน โดยที่คุณค่าความเป็นผู้หญิงของเธอก็ยังคงอยู่
สโนว์ไวท์ในภาคนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อผู้หญิงในยุคปัจจุบัน จากกรอบความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่จำกัดบทบาทผู้หญิงไว้แค่ในบ้าน มาเป็นการยอมรับบทบาทที่หลากหลายของผู้หญิงในสังคม ซึ่งหนังเรื่องนี้สามารถมองได้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับกรอบคิดเรื่องเพศและการท้าทายบทบาทที่ถูกกำหนดไว้ของผู้หญิง
ในท้ายสุดแล้ว สโนว์ไวท์ จึงอาจไม่ใช่เพียงแค่นิทานหรือเทพนิยายก่อนนอน แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันทำหน้าที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพของสังคมและแนวคิดของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ซึ่งได้ส่องต่อมาถึงคนในปัจจุบันให้ได้เรียนรู้ว่า ช่วงเวลาต่างๆ ที่ผ่านมา ผู้คนกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรอยู่บ้าง
และสโนว์ไวท์ภาคไลฟ์แอ็กชั่นในปี 2025 นี้ ก็อาจจะมีอีกแง่มุมอื่นๆ ให้เราได้ติดตากันต่อด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจาก