สำหรับคอเกม ณ เวลานี้คงหนี้ไม่พ้นอีกหนึ่งเกมจีนที่กำลังเขย่าวงการเกมโลกอย่าง Where Winds Meet
เรียกได้ว่าเป็นอีกครั้งที่เกมจีนทำให้เกมเมอร์อึ้งในหลายมิติ ตั้งแต่การเป็นเกมฟรี ประเภทที่การเติมเงินไม่ได้ทำให้กลายเป็นเทพหรือเก่งกว่าคนอื่นได้มากนัก (คือเล่นสบายขึ้นบ้างจากบางเงื่อนไขที่ใช้บางค่าเงินหรือแบทเทิลพาสช่วยเราได้)
ไปจนถึงระบบของเกมที่ ‘มีอะไรให้ทำไม่รู้จบ’ พื้นที่สำคัญคือระบบการต่อสู้ การออกแบบการต่อสู้ การออกแบบบอสที่คล้ายกับเกมแนวโซลก็ทำได้อย่างน่าทึ่ง เป็นเกมที่เล่นสนุกทั้งสำหรับสายฮาร์ดคอร์ที่ชอบสู้บอสแบบเข้มๆ รวมถึงสำหรับสายสันทนาการที่ชอบเล่นออนไลน์ สำรวจโลก ทำกิจกรรมต่างๆ ในเกมอย่างอิสระ
ทั้งหมดคือการชื่นชมในระดับเบื้องต้น หลายเสียงเมื่อเริ่มเข้าสู่โลกจอมยุทธ์ เราก็มักจะอ้างอิงไปที่เกมเรือธงก่อนหน้าคือ Black Myth: Wukong เกมจีนระดับปรากฏการณ์ที่นำเอาตำนานหงอคง รวมถึงวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมจีนกลับมาทำให้มีชีวิตขึ้นใหม่ ซึ่งยุทธภพใน Where Winds Meet ก็สร้างความประทับใจในการพาเราท่องไปในความเป็นจีนได้ไม่แพ้กัน

และถ้าเราพูดถึงวูคองและโลกจอมยุทธ นอกจากเกมดีไซน์และงานดีไซน์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว อีกจุดแข็งที่ถือได้ว่าผู้พัฒนาเกมจากจีนทำได้ยอดเยี่ยมจนน่าจับตา นั่นก็คือการนำเอาประวัติศาสตร์ เรื่องราว และวัฒนธรรมของความเป็นจีน มาปรุงเข้าไปในโลกของเกม ทำให้ความเป็นเกมพาเราดำดิ่งไปในประวัติศาสตร์ ความสวยงามรุ่งโรจน์ รวมถึงปรัชญาบางอย่างที่ทำให้เกม ไม่ใช่เป็นแค่เกม
สำหรับ Where Winds Meet โลกจอมยุทธ์ที่แน่นอนว่าสนุกไปด้วยความบู๊ล้างผลาญ การฝึกวิชาเข้าสำนัก ตามหาถ้ำหลังน้ำตก ไปจนถึงมีมจากเรื่องชาวยุทธ์ทั้งห่าน ระฆัง หรือวิชาเบียวๆ แล้ว บรรยากาศหรือเรื่องราวบางจังหวะกลับทำให้เราสะอึกไปกับความลึกซึ้งของเรื่องราว
โลกชาวยุทธ์ที่มีเบื้องหลังเป็นยุค ‘ห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร’ ช่วงเวลาที่ชาวยุทธ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวาย โลกชาวยุทธ์ที่รับรู้ได้ถึงความตาย และการเอาตัวรอดของคนตัวเล็กตัวน้อย ในห้วงเวลาของความสับสน
การเมืองเรื่องยุทธภพ
เวลาที่เราพูดถึงโลกกำลังภายใน เรามักนึงถึงแนวเรื่องโลดโผน การเติบโต การผจญภัย การต่อสู้ปราบปรามระหว่างค่ายสำนัก ซึ่งมักว่าด้วยการสู้กันของธรรมะและอธรรม
แต่ทว่า ถ้าเราดูบริบทของนิยายกำลังภายใน เรื่องแนวกำลังภายในมักพูดถึงบริบทความเป็นการเมือง พูดถึงความขัดแย้งของการปกครองที่มักนำมาซึ่งความโกลาหลวุ่นวาย ยุทธจักรคือโลกที่คนธรรมดาลุกขึ้นต่อสู้ เป็นห้วงเวลาที่ระบบระเบียบต่างๆ มีปัญหา ค่ายสำนักต่างๆ จึงมีบทบาทในการเข้าผดุงความยุติธรรม
หลายครั้งนัยของยุทธจักร คือการพูดถึงความล้มเหลวในการบำบัดทุกข์บำรุงสุข พูดถึงการที่คนดีไม่ได้รับความยุติธรรม ไปจนถึงตั้งคำถามกับคำว่าธรรมมะและอธรรม บทบาทของผู้ปกครองและการปกครอง

ในทำนองเดียวกัน ฉากหลังของ Where Winds Meet เลือกบริบทประวัติศาสตร์จีนในยุค ‘ห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร’ ในราวศตวรรษที่ 10 เป็นช่วงเวลาที่แผ่นดินจีนแตกออกเป็นอาณาจักรน้อยใหญ่ พื้นที่ทางตอนเหนือมีชนเผ่าชี่ตันคอยรุกราน ทางใต้ก็เกิดเป็นแคว้นย่อยๆ ศูนย์กลางปกครองเปลี่ยนผู้ปกครองถึงห้าราชวงศ์ แต่ละราชวงศ์ปกครองเป็นเวลาสั้นๆ ไม่มีความมั่นคง เป็นช่วงที่จีนตกอยู่ในสภาพเหมือนกลียุค เต็มไปด้วยศึกสงครามและความขัดแย้ง
ด้วยบริบทนี้เอง โลกจอมยุทธ์ซึ่งเป็นโลกสมมุติที่แทรกเข้าไปในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของจีน เราเอง ในฐานะตัวละครหลักที่ไร้นาม ไร้หน้า ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ ซึ่งเราต้องถูกพาหนีและเลี้ยงดูขึ้นอย่างลับๆ ซึ่งถ้าเราค่อยๆ ไล่เรื่องราว เราเองจะค่อนข้างเกี่ยวข้องกับแม่ทัพที่ทำศึกกับชาวชี่ตัน และการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศ
ความตายที่ล่องลอย และการดิ้นรนของคนตัวเล็ก
ในเมื่อบริบทของชาวยุทธ์คือการต่อสู้ คือเรื่องราวความโกลาหล สิ่งที่ตัวเกมเลือกที่พูดถึงหรือแสดงให้เราเห็นอยู่เสมอ คือผลกระทบชองความขัดแย้งซึ่งมีคนตัวเล็กๆ หรือประชาชนคนธรรมดาเป็นผู้รับผล โลกของการต่อสู้ไม่ได้มีแต่ความหวือหวาสนุกสนาน แต่คือโลกที่ความเป็นความตายเฉียดใกล้กัน และโดยส่วนใหญ่มักมีความตายล่องลอยอยู่ในอากาศ
นอกจากการเล่าเรื่องราวที่ตัวเกมมักให้ภาพอีกด้านของผู้คน ภาพของหมู่บ้านร้าง เรื่องราวของเด็กกำพร้า พ่อแม่ที่สูญเสีย ภรรยาของทหาร ภาพอีกด้านของเมืองไคเฟิงที่ฉูดฉาด แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตและเสียงที่แท้จริงที่เมืองฝังกลบไว้

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดคือวิธีการที่ตัวเกมค่อยๆ ทำให้เรารับรู้ถึงความสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง การทำให้เราได้สัมผัสกับบาดแผล ความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับความตาย วิธีการที่เรากลับมาพบเจอกับตัวละครที่จากไปผ่านความฝัน การที่เรายังมี ‘บ้าน’ ที่แท้จริงแล้วเป็นพื้นที่ที่ยังอยู่ในความทรงจำ ในความรู้สึกของเรา แม้ว่าบ้าน ดินแดนอันสงบงามที่เราฝังความทรงจำไว้ จะกลายเป็นกองเถ้าถ่านไปแล้วก็ตาม
สำหรับความตาย นอกจากตัวเกมจะพูดถึงมิติทางความรู้สึก ความตายซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการต่อสู้ ความตายยังน่าจะสะท้อนกับปรัชญาแบบตะวันออกและปรัชญาแบบจีน เช่น การพูดถึงพุทธศาสนา ปรโลก และความตายที่อาจไม่ใช่แค่การสิ้นสุด แต่คือส่วนหนึ่งของวงรอบหมุนไปข้างหน้า เรื่องราวของภิกษุแปลกประหลาด พื้นที่ที่ร่ำไปด้วยเสียงสวดและความคุ้มคลั่ง ดอกไม้ที่เบ่งบานบนซากศพ
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวและวัฒนธรรม ซึ่งผู้สร้างได้นำเอาวิธีคิด ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของจีน มาเล่าผสมผสานกับความรุ่งเรืองของอาณาจีนโบราณได้อย่างกลมกล่มและคมคาย ตัวเกมไม่ได้มีแค่มุมของความตาย แต่ยังให้ภาพของการมีชีวิต การนำเอาภาพวาดโบราณมาชุบชีวิตกลายเป็นเมืองไคฟงและพื้นที่ชนบทน้อยใหญ่ ไปจนถึงการใช้ความคิด ความเชื่อและปรัชญาอันหลากหลายของจีนที่ไร้ที่สิ้นสุดมาตีความให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกม ของบอส และของมินิเกมต่างๆ
เกม Where Winds Meet จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางวัฒนธรรมหรือคอนเทนต์จากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งในระยะหลังเรามักมองว่าจีนเป็นยักษ์ใหญ่ แต่ในแง่ของ Soft Power อาจยังไม่แข็งแรงนัก แต่ถ้าเราดูผลงานคอนเทนต์จากจีนในช่วงหลายปีมานี้ โลกของเกมที่ได้รับการออกแบบอย่างดี การปรุงรสด้วยวัฒนธรรมที่รุ่มรวย น่าสนใจ ทำให้คอนเทนต์ที่คนเอเชียแบบเราคุ้นเคยทั้งซุนหงอคง ตำนานเทพเซียน มาจนถึงโลกของชาวยุทธ์ กลับมามีพลังและเอาชนะใจคนทั้งโลกได้อีกครั้ง
อ้างอิงจาก
wherewindsmeet.wiki.fextralife.com