การงดเหล้าเป็นแคมเปญหลักที่รัฐ หรือองค์กรต่างๆ พยายามส่งเสริมให้ผู้คนบริโภคเหล้าหรือแอลกอฮอล์ประเภทต่างๆ ลดลง บ้านเรามักจะโยงเข้ากับวันสำคัญทางศาสนา มีการงดเหล้าวันพระ ไปจนถึงช่วงเข้าพรรษา ถึงขนาดมีกฎหมายห้ามขายสุราในวันสำคัญอย่างเป็นรูปธรรม
ทว่าด้วยกระแสและความเปลี่ยนแปลง ทั้งกระแสเรื่องการงดเหล้าช่วงมกราคม และความเปลี่ยนแปลงด้านไลฟ์สไตล์จากช่วงโควิด-19 รวมถึงกระแสที่เราเริ่มได้ยินมากขึ้นว่าคนรุ่นใหม่ อย่างเหล่า Gen Z เริ่มดื่มเหล้ากันน้อยลง
Dry Dating จึงถือเป็นอีกกระแสที่เปลี่ยนความคิด และความเชื่อทางวัฒนธรรมในการ ‘ไปเดต’ และทำความรู้จักกัน รวมถึงความคิดที่ว่าโอกาสพิเศษของ 2 เรา ควรจะต้องมีการดื่มเข้ามามีส่วนร่วมในความโรแมนติก เพราะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรากล้าขึ้น ผ่อนคลายขึ้น และทำความรู้จักกันดีขึ้น ซึ่งความคิดแต่เดิมที่เราคุ้นเคยเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงน่าจะกำลังเปลี่ยนแปลงกิจการ เช่น ผับ บาร์ ร้านอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และอื่นๆ ที่อาจต้องปรับตัวตามค่านิยมใหม่เรื่องการเดตอย่างมีสตินี้
งดเหล้าเข้ามกราฯ และอิทธิพลจากยุคโควิด
กระแสการบริโภคแอลกอฮอล์ที่ลดลง ยังเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ผู้เกี่ยวข้องพยายามให้คำตอบ แต่หลายทิศทางมักจะชี้ไปที่การเกิดขึ้นของกระแส ‘งดเหล้าเข้ามกราฯ’ หรือ Dry January ซึ่งกระแสงดเหล้านี้เป็นกิจกรรมที่เริ่มจากองค์กรในอังกฤษช่วงปี 2012 ทว่าภายหลังได้รับความนิยม เช่น ในอเมริกามีรายงานว่าผู้คนกว่า 25% เข้าร่วมกิจกรรมงดเหล้าในทุกๆ ปี
ความน่าสนใจของกิจกรรมดังกล่าว คือการเสนอแนวคิดการ ‘ดีท็อกซ์’ หลังจากที่เราอาจจะดื่มหนักในช่วงการฉลองใหญ่อย่างเทศกาลปีใหม่ และการเฉลิมฉลองอื่นๆ โดยช่วงโควิด-19 ระบาดคือบริบทสำคัญที่เชื่อกันว่ามาเปลี่ยนชีวิตเรา อย่างแรกคือร้านเหล้า ผับ บาร์ ต่างปิดบริการ ไลฟ์สไตล์ของการเลิกงานที่จะแวะดื่มเหล้า หรือการนัดเดตในร้านโรแมนติกที่มักมีค็อกเทลเป็นส่วนประกอบ ก็ลดน้อยลง
ในแง่ความโรแมนติก การเดตในยุคโควิด-19 มักเปลี่ยนไปใช้ในพื้นที่เชิงสุขภาพ เช่น ในสวนสาธารณะ ในพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับจากผู้คนว่า การเดตโดยไม่ดื่มมันก็ดีเหมือนกัน
รายงานสำคัญเรื่องกระแสการเดตไร้ดื่มนี้ มีรายงานสำคัญในปี 2022 จากแอปฯ Bumble พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 34% ระบุว่า มีแนวโน้มจะไปเดตโดยที่ไม่ต้องดื่ม นั่นคือไม่กลับไปเดตแบบเดิมอย่างในช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งเรื่องนี้นอกจากจะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์แล้ว ยังเป็นเรื่องของความคิดด้วย เพราะในกลุ่มตัวอย่างที่เลือกไม่ดื่ม 62% หรือเกินครึ่ง ให้ความเห็นว่าการเดตโดยไม่ดื่มเป็นการเชื่อมต่อกันของคน 2 คนที่แท้จริงกว่า และอีก 54% ระบุว่า เรื่องนี้สำคัญ เพราะเป็นการเดตที่ ‘มีสติและมีเจตนา’ สามารถเห็นถึงการลงมือว่าทำอะไร ไปทางไหน และเกิดจากความตั้งใจจริงๆ ไม่ใช่ฤทธิ์ของความเมา
Gen Z ดื่มน้อยลง?
นอกจากมิติการเดตแล้ว ภาพรวมเรื่องการบริโภคแอลกอฮอล์ที่ลดลงยังสัมพันธ์กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่แน่นอนว่าเป็นกลุ่มที่เข้าสู่วงการการเดต ในแง่ความคิด Gen Z เป็นช่วงวัยที่ดื่มเหล้า หรือมีแอลกอฮอล์ในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตลดลง มีตัวเลขสัดส่วนผู้บริโภคที่อายุต่ำกว่า 35 ปี แบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดของการบริโภคแอลกอฮอล์ลดลงราว 10% จาก 72% ในปี 2001-2003 และลดลงเหลือเพียง 62% ในปี 2021-2023
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการก็ยังตอบสาเหตุที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ก็เสนอข้อสังเกตหลายประการ อย่างแรกคือเรื่องสุขภาพ น่าสนใจที่ Gen Z ซึ่งอาจจะเติบโตขึ้นในยุคโรคระบาดจะมีค่านิยมใหม่ๆ หนึ่งในนั้นคือการมีค่านิยมเรื่องการรักษาสุขภาพ Gen Z รวมถึงคนทั่วไปเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น
ในมิติทางวัฒนธรรม แอลกอฮอล์เคยเป็นตัวแทนของการแสดงความเป็นผู้ใหญ่ เป็นตัวช่วยด้านความมั่นใจ และที่สำคัญคือเป็นสื่อกลางในการเข้าสังคม ในแง่นี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า Gen Z ไม่จำเป็นต้องแสดงออกเพื่อนิยามตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ และมองว่าโลกมีวิธีการที่ผู้คนจะแสดงความซับซ้อนได้ โดยไม่ต้องใช้เหล้าเป็นส่วนประกอบ
นอกจากนี้ ข้อสังเกตสำคัญคือแม้แอลกอฮอล์มักจะเป็นส่วนหนึ่งของการพบปะสังสรรค์ แต่ Gen Z มีอัตราหรือความถี่ในการพบปะกันที่ลดต่ำลง ซึ่งสัมพันธ์กับการแพร่ระบาดของความเหงา หรือการพบปะกันในพื้นที่ออนไลน์ การดื่มเหล้าจึงกลายเป็นสิ่งที่ลดลงตามการพบปะ หรือการเข้าสังคมที่น้อยลง
ความเปลี่ยนแปลงเรื่องการเดตและดื่มที่ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับมุมมองถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวพันตั้งแต่รากฐานความคิด ที่เรามักมีการดื่มเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับสังคม การเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และการเป็นเครื่องมือของความโรแมนติก
ในแง่กิจการเอง ตลาดของเครื่องดื่มกลุ่มไร้แอลกอฮอล์ก็กำลังเติบโตขึ้น เครื่องดื่มที่เน้นเรื่องสุขภาพ เรื่องความผ่อนคลาย การให้สารสำคัญต่างๆ ที่เข้ามาทดแทนการดื่มเหล้า วัฒนธรรมบาร์ก็เริ่มปรับตัว ทั้งบาร์ไร้แอลกอฮอล์ ร้านต่างๆ เริ่มมีม็อกเทล หรือค็อกเทลไม่เมาที่ค่อยๆ หลากหลายและสร้างสรรค์ขึ้น ไปจนถึงแนวคิดเรื่องความมั่นใจ และการส่งเสริมความมั่นใจโดยที่ไม่ต้องมีแอลกอฮอล์ในเลือด
อ้างอิงจาก