เริ่มต้นงานที่ใหม่ ขอให้เจออะไรใหม่ๆ หน่อยเถอะ
ตั้งความหวังเอาไว้เสียดิบดีว่า เริ่มต้นงานใหม่ทั้งที่ ตำแหน่งก็ใหญ่กว่าเดิม ก็ขอให้เจอทีมที่ดี ยอมรับหัวหน้าหน้าใหม่อย่างเราได้ แต่พอเปิดประตูเข้าออฟฟิศไปเท่านั้นแหละ ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ พนักงานดูอึมครึมราวกับทำงานอยู่ในสนามรบ พอหย่อนตัวลงนั่งก็เห็นได้ชัดเลยว่า คนในทีมเหมือนแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย เอาล่ะ ขอให้เจออะไรใหม่ๆ แบบนี้ก็ใหม่เกิน
ย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นพนักงานทั่วไป แค่เพื่อนร่วมทีมตีกันเอง ก็ทำเอาอึดอัดจะแย่ ไม่รู้จะเลือกข้างใครดี พอมาคราวนี้ คนในทีมกลับทะเลาะกันอีก ทว่าสถานการณ์กลับเปลี่ยน เมื่อเราดันอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าที่เพิ่งมาใหม่ ถ้านี่จะเป็นบททดสอบของชีวิต ก็คงเป็นบทที่ยากที่สุดแล้วล่ะ
เจอสถานการณ์แบบนี้ไปต่อยังไงดี ทีมใหม่ คนใหม่ เราเองก็ใหม่ ทั้งไม่คุ้นชินและยังไม่รู้จักกันดีเท่าไหร่ด้วย แล้วถ้าจะขอปล่อยเบลอ อยากตีกันก็เชิญตีไป จะได้ไหมนะ หรือเราในฐานะหัวหน้าหน้าใหม่จะสามารถทำอะไร เพื่อจัดการอะไรได้บ้าง?
ปล่อยผ่านได้ไหม ไม่สนใจเลยได้หรือเปล่า?
คนสองคนทะเลาะกัน เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องของเราเสียหน่อย จะยื่นมือเข้าไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่หรอกมั้ง
เชื่อว่าหลายคนพอเจอกับสถานการณ์ที่มีคนทะเลาะกัน ก็คงไม่ค่อยอยากยื่นมือเข้าไปยุ่งมากเท่าไหร่ เพราะมันก็คือเรื่องของคนสองคนจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งเราเพิ่งได้รับบทบาทเป็นหัวหน้าหน้าใหม่ แล้วต้องมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของทีมที่ไม่สู้ดี เบื้องลึกเบื้องหลังก็ไม่ได้รู้มาก่อน การจะเข้าไปแทรกแซงอะไรก็ดูจะเสี่ยงเกินไป แถมมันอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเราด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสถานที่ที่อื่นทำแบบนี้ก็คงจะใช้ ทว่าหากเวทีการปะทะดันเป็นในออฟฟิศ แล้วยิ่งเราเป็นหัวหน้าด้วยแล้ว การปล่อยผ่านเลยตามเลย ก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะมันอาจส่งผลกระทบในหลายด้านมากกว่าที่เราคิด ข้อมูลจากเว็บไซต์ Gordon Tredgold Fast Leadership ของ กอร์ดอน เทรดโกลด์ (Gordon Tredgold) ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำ ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งภายในทีม ถือเป็นสาเหตุสำคัญซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้
เมื่อพนักงานต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ก็ยิ่งทำให้โฟกัสของพวกเขา แทนที่จะต้องโฟกัสกับงาน อาจลดลง แล้วให้ความสนใจไปที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแทน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและผลผลิตของพนักงานเหล่านั้น
แน่นอนว่า การที่พนักงานทะเลาะกัน แล้วยิ่งเป็นคนจากในทีมเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้การทำงานร่วมกันเป็นทีมลดลง เพราะทั้งทีมก็จะทำงานด้วยกันได้ยากขึ้น แถมในระยะยาวก็อาจทำให้พลาดโอกาสในการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้งกัน เพราะอาจกลัวหรือกังวลว่ามันจะไปสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบมันอาจไม่ได้หยุดอยู่แค่ในทีมด้วยกันเอง ทว่ามันอาจลากยาวไปเป็นผลกระทบระดับองค์กรได้ ลองนึกดูว่า ทีมที่มีคนทะเลาะกันเอง เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็คงอยากเบือนหน้านี้ บางทีก็อาจถึงขั้นทนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้ มาร์ซิน มาจก้า (Marcin Majka) ผู้จัดการโครงการและโค้ชด้านธุรกิจ กล่าวว่า ความขัดแย้งภายในทีมมีแนวโน้มที่จะทำลายโครงสร้างขององค์กร เพราะเมื่อคนในทีมขัดแย้งกัน ก็จะขาดความเข้าใจและเต็มใจที่จะช่วยเหลืองานกัน แน่นอนว่าความเคารพและความไว้วางใจในหมู่เพื่อนร่วมงานด้วยกันเองก็จะลดลง นำไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ
ทั้งนี้ มาร์ซินยังชี้ให้เห็นอีกว่า ความขัดแย้งในที่ทำงาน อาจนำไปสู่การลาออกที่เพิ่มมากขึ้น เพราะพนักงานส่วนใหญ่ ก็อยากทำงานท่ามกลางบรรยากาศการทำงานที่ดี ซึ่งองค์กรก็อาจสูญเสียพนักงานที่เก่งและมีความสามารถไป กระทบต่อผลผลิตขององค์กรโดยตรง
เราในฐานะหัวหน้าก็จะได้รับผลกระทบนี้ จากการถูกมองว่าไม่สามารถในการบริหารคนในทีมได้ เพราะ ตำแหน่งหัวหน้า ไม่ได้โฟกัสเพียงแค่ผลงานเท่านั้น ทว่าต้องสามารถจัดการดูแลทีมของตนเองให้ได้ ท้ายสุดแล้ว ประสิทธิภาพของทีม ไม่ได้วัดกันแค่ที่ผลงานอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะต้องวัดกันที่การทำงานร่วมกันของคนในทีมด้วย
แล้วจะจัดการยังไงดี เมื่อคนในทีมทะเลาะกัน?
ในเมื่อหันหลังหนีความขัดแย้ง อาจไม่ใช่ทางออกที่เหมะสมเท่าไหร่นัก ก็สู้หันหน้าเผชิญไปเลยดีกว่า แต่จะเริ่มยังไงดีล่ะ เพราะถ้าก้าวผิดขึ้นมา คงไม่มีใครเคารพหัวหน้าหน้าใหม่แบบเราแน่
อย่าเพิ่งกังวลใจไป ทุกปัญหามีทางออกให้เสมอ เราได้รวบรวมวิธีอันน่าสนใจจาก ยูจีน บี. โคแกน (Eugene B. Kogan) วิทยากรด้านกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองและความเป็นผู้นำ และเว็บไซต์ Indeed เว็บไซต์ด้านการจัดหางาน มาเป็นทางเลือก สำหรับคนที่เพิ่งได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้า แต่ต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ให้ได้ลองนำไปปรับใช้กันดู
- ตั้งโต๊ะพูดคุยและรับฟัง
แม้การจะรับหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือคนกลางในการจัดการความขัดแย้งจะเป็นเรื่องชวนปวดหัว แต่ด้วยความที่เราเป็นหัวหน้า เราก็จำเป็นต้องทำให้ได้ โดยเราต้องเรียกทั้งสองฝ่ายเข้ามาพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น (อาจแยกกันมาคุย เพื่อให้รู้เรื่องราวมากขึ้นก่อน ค่อยเรียกเข้ามาให้เจรจาพร้อมกัน) ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตัวเราเองทราบว่า ต้นตอของความขัดแย้งมาจากอะไร แล้วต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไร เพื่อให้สถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลาย
- วางตัวเป็นลางให้ได้มากที่สุด
เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น จะให้ทำตัวเหมือนน้องนกเข้าข้างพี่ตาคนที่หนึ่งคนที่สองก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ยิ่งเราเป็นหัวหน้าด้วยแล้ว ต้องวางตัวให้เป็นกลางมากที่สุด อย่าเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง เพราะเราอาจถูกมองว่าเลือกปฏิบัติ ซึ่งมันอาจนำไปสู่การขาดความเชื่อใจและส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันได้
- ทำให้ตัวเองเป็นพื้นทีปลอดภัยสำหรับการพูดคุย
เราในฐานะหัวหน้าคนใหม่ของทีม ก็อาจจะไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมดได้ภายในวันเดียว การเจรจาหรือการจัดการอาจยืดเยื้อกินเวลาหลายวัน สิ่งที่ควรทำคือการวางตัวเองให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับให้ทุกคนในทีมมาพูดคุยได้ เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างได้พูดคุยถึงปัญหาที่ค้างคา อีกทั้งการวางตัวเองให้เป็นที่ปรึกษาของทีมได้ ยังช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราและคนในทีมดีขึ้นได้ด้วย
- อย่ารอให้เขามาพูด หัวหน้าก็หาคำตอบเองได้
หากไม่กล้าเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุย นั่งรอเท่าไหร่พวกเขาก็ไม่เข้าหา ก็อาศัยความเป็นหัวหน้าคนใหม่หาคำตอบด้วยตนเองได้เลย โดยอาจเข้าหาคนในทีมคนอื่นแทนการไปคุยกับเจ้าตัวตรงๆ ทำท่าทีชวนคุยในฐานะหัวหน้าและพนักงานใหม่ที่ไม่รู้เรื่องราวต่างๆ แอบสอบถามข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเข้าใจมุมมองและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะลองเข้าไปคุยกับลูกทีมที่มีปัญหากันก็ได้เช่นกัน มุมหนึ่งมันก็แสดงถึงความใส่ใจ ตลอดจนความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์ของคนในทีมด้วย
- หาจุดกึ่งกลางร่วมกันให้ได้
หลังจากรับฟังและรับรู้เรื่องราวความเป็นมาแล้ว ก็ควรเร่งหาวิธีการหรือทางออกที่อยู่จุดกึ่งกลางระหว่างสองฝ่ายให้ได้ เพื่อให้แต่ละฝ่ายไม่รู้สึกเสียเปรียบหรือถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า การหาทางออกที่เป็นกลาง ก็อาจไม่ใช่ทางออกที่แต่ละคนถูกใจเสมอไป แต่มันคือทางออกที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหันหน้ากลับมาทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นมืออาชีพ
- หัวหน้าต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดและมั่นคง
วันนี้เราไม่ได้เป็นพนักงานหรือเพื่อนร่วมงานแล้ว แต่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าทีม ซึ่งมาพร้อมกับอำนาจในการตัดสินใจ ดังนั้น การจะพาทีมให้ทำงานรอดต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ หัวหน้าเองก็ต้องกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะการหาวิธีการจัดการเมื่อทีมต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายใน ทั้งนี้ทุกการตัดสินใจก็ควรยึดมั่นผลประโยชน์ของทั้งทีมและการทำงานในภาพรวมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทีมเดินไปข้างหน้าต่อได้
ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงานสามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดาในที่ทำงาน แม้จะพยายามป้องกันแล้วก็ตาม แต่บางครั้งมันก็อาจมีไม่ลงรอยกันบ้างเวลาทำงาน และเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว ในฐานะหัวหน้าทีมไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ก็ต้องมองหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดแก่ทีมให้ได้ เพราะการบริหารคนในทีม ก็ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าที่รับผิดชอบของหัวหน้าอย่างเรา
อ้างอิงจาก