“พี่ขอดีกว่านี้อีก”
เสียงคอมเมนต์ดังขึ้นทุกครั้งที่ส่งงานให้เจ้านาย แม้อยากตอบกลับแทบขาดใจว่า แค่นี้หนูก็งัดทุกความสามารถที่มีออกมาใช้หมดแล้วค่ะพี่ แต่ทำได้เพียงยิ้มรับ ไม่ว่างานจะยากแค่ไหน เราก็ใส่เต็ม 100 เสมอ เผลอๆ ทำเกินไป 120 กะว่าเขาจะต้องเห็นความทุ่มเทของเราแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าทำเท่าไหร่เขาก็ยังไม่พอใจสักที ทั้งที่พยายามไปเกิน 100 แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นแค่การพยักหน้าส่งๆ แล้วบอกสั้นๆ ว่า คราวหน้าขอมากกว่านี้อีกนะ
เจอแบบนี้เข้าไปไม่ว่าใครก็คงหมดใจกันบ้าง เหลือแต่คำถามสงสัยในตัวเอง ว่าที่ผ่านมาเรายังทำไม่ดีพออีกเหรอ ทั้งที่เราก็ทำตามมาตรฐานทุกอย่าง งานที่ได้ก็ราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาด ติดอยู่อย่างเดียว คือความพอใจของหัวหน้าดันอยู่สูงลิ่วที่แทบเป็นไปไม่ได้
การตั้งเป้าหมายไว้ให้สูงของหัวหน้าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า แล้วถ้าเรารู้สึกหมดไฟกับการทำงานแบบนี้ควรทำยังไงดีนะ

เมื่อหัวหน้าสั่งงานที่เป็นไปไม่ได้
ทั้งที่รับผิดชอบงานของตัวเองอย่างดี แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถไล่ตามความคาดหวังของหัวหน้าได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ทำอะไรมากไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับ ด้วยเหตุผลจากหัวหน้าที่เชื่อว่าวิธีเคี่ยวเข็ญตัวเองแบบนี้แหละ จะช่วยให้งานดีเกินมาตรฐาน
แต่การตั้งเป้าหมายสูงเกินไป จะเป็นเรื่องที่ดีกับคนทำงานจริงหรือเปล่า? มีรายงานปี 2024 ของ Eagle Hill Consulting บริษัทให้คำปรึกษาด้านการทำงาน เกี่ยวกับภาวะหมดไฟของคนทำงานพบว่า สาเหตุหลัก 2 ข้อคือ ภาระงานมากเกินไป และ จำนวนพนักงานไม่พอ
จากรายงานนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าภาวะหมดไฟไม่ได้เกิดขึ้นจากเรื่องส่วนตัวของพนักงาน แต่มาจากระบบการทำงาน เช่น การไม่จัดลำดับความสำคัญ ความไม่สมดุลระหว่างงานกับกำลังคน หรือความเร่งด่วนแบบไม่มีเหตุผล
หลายครั้งเรามักเคยเจอเจ้านายตั้งเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงหน้างานว่าสามารถทำได้จริงหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น การให้ระยะเวลาสั้นเกินไป ต้องการความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หรือคาดหวังว่าจะต้องทุ่มเทให้กับงานตลอดเวลา จนทำให้คนทำงานต้องทุ่มเทการทำงานมากเป็นพิเศษ เพื่อไล่ตามเป้าหมายที่สูงลิบไว้ให้ได้
ดังนั้น การตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินจริงจึงอาจไม่ใช่บรรยากาศการทำงานที่พนักงานหลายคนสบายใจ แถมยังเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเรากำลังเจอเจ้านายท็อกซิก ที่ไม่เข้าใจคนทำงานแม้แต่น้อยด้วย

แม้ด้านหนึ่ง นิสัยการทำงานแบบนี้อาจถูกทำให้เชื่อว่าเป็นข้อดี เพราะช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทุ่มเททำงานยากๆ แต่ขณะเดียวกัน มาตรฐานที่สูงเกินจริงของหัวหน้า ก็อาจทำให้คนทำงานรู้สึกล้มเหลวตลอดเวลา รู้สึกหมดไฟ จนอยากลาออกได้เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่เก่งพอที่ทำงานนี้ได้ หรือถ้าหากพยายามโต้แย้ง ความรู้สึกที่ว่าเราไม่เหมาะกับงานนี้ก็ยิ่งชัดขึ้น จนไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้
เอลล่า วอชิงตัน (Ella F. Washington) นักจิตวิทยาองค์กรและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ เสริมว่าการทำงานกับเจ้านายที่เป็นพิษไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสุขภาพจิตและชีวิตความเป็นอยู่ของเราด้วย โดยเฉพาะความมั่นใจและคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรับรู้สถานะทางสังคม เมื่ออยู่ในที่ทำงานด้วย เราถูกทำลายความมั่นใจ เราก็ยิ่งรู้สึกวิตกกังวล ไม่พอใจกับงานที่ทำ จนถึงตีตัวออกห่างจากผู้คน
ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพจิตเท่านั้น แต่การตั้งเป้าหมายไม่สอดคล้องกับคนทำงาน ยังส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรด้วย เนื่องจากความกดดันที่ทำให้พนักงานต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แม้ว่าจะต้องทุจริตก็ตาม
ลินน์ เพน (Lynn S. Paine) ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจ ได้ศึกษาเกี่ยวกับเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณในองค์กรธุรกิจหลายกรณี ก่อนจะพบว่าสิ่งสำคัญที่มักทำให้ธุรกิจเหล่านี้มีคนทำผิด เป็นเพราะการตั้งเป้าหมาย และการวัดผลแบบไม่ยึดโยงกับความเป็นไปได้จริงของผู้บริหาร ทำพนักงานถูกบีบต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีต่างๆ แม้ไม่สมควรทำ เช่น การปลอมบัญชี การติดสินบน รวมถึงการฉ้อโกง
จะเห็นว่าการตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริงจึงอาจไม่ใช่วิธีที่ดีสำหรับการทำงาน แม้ในระยะสั้นอาจดูเหมือนว่าจะทำให้ได้งานที่โดดเด่นเกินมาตรฐาน แต่ไม่นานพนักงานก็อาจเริ่มทนกับความกดดันนี้ไม่ไหว จนทำให้คุณภาพงานลดลงตามไปด้วยในท้ายที่สุด

รับมือยังไงกับหัวหน้าที่คาดหวังสูงเกินจริง
เมื่อผลของการตั้งเป้าหมายของงานเกินมาตรฐานไม่ได้ส่งผลดีกับคนทำงานอย่างที่คาดหวังไว้เสมอไป ในฐานะคนทำงานเอง เราก็ควรกลับมาตั้งคำถามและประเมินตัวเองอีกครั้งว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อจิตใจของตัวเอง
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในการพูดคุยกับหัวหน้า เพราะเขามักทำให้เรารู้สึกว่าต้องเก่งขึ้นให้ได้เทียบเท่ากับมาตรฐานที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งความคาดหวังที่ไม่สิ้นสุดของหัวหน้าก็อาจไม่ได้อ้างอิงกับความเป็นจริง ดังนั้น เราในฐานะคนทำงาน ก็สามารถสื่อสารสถานการณ์จริงที่เราเจอได้เช่นกัน
เมลิสสา โดแมน (Melissa Doman) นักจิตวิทยาองค์กร ได้แนะนำวิธีสื่อสารกับหัวหน้า เพื่อปรับความคาดหวังให้ตรงกันด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
- เตรียมประเด็นพูดคุยให้พร้อม: เมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มพูดคุยกับหัวหน้า อย่าลืมลิสต์ประเด็นที่เราจะใช้พูดคุยไปด้วย เพื่อให้เราสามารถอธิบายได้อย่างตรงประเด็น และสามารถพูดได้อย่างน่าเชื่อถือ หัวข้อที่เราควรหยิบไปพูด เช่น เหตุผลที่รู้สึกว่าทำตามความคาดหวังนั้นไม่ได้ พร้อมอธิบายถึงงานที่รับผิดชอบอยู่ตอนนี้ หรือผลกระทบจากงานนั้น เพื่อให้หัวหน้าเข้าใจสถานการณ์ในฝั่งของเรา
- วางแผนและเสนอทางออก: บางครั้งการปฏิเสธว่าเราทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำเฉยๆ อาจไม่มีน้ำหนักมากพอ และทำให้ถูกปัดตกได้ง่ายๆ เราอาจต้องเตรียมทางออกไปเสนอหัวหน้าด้วย เช่น ถ้าเราไม่ถนัดงานนี้ขอให้เพื่อนที่ถนัดมาช่วยได้ไหม หรือจ้างคนนอกมาเพื่อแบ่งเบาภาระงานได้หรือเปล่า เพื่อให้หัวหน้าเข้าใจว่าการที่เราทำไม่ได้เพราะยังไม่มีการสนับสนุนมากพอ
- ปฏิเสธอย่างสุภาพ: หากเราลองทบทวนดูแล้วว่างานนี้ทำยังไงก็ไม่น่าจะไหว เพราะติดปัญหาอื่นๆ เราอาจต้องปฏิเสธไปอย่างชัดเจนและสุภาพด้วย เพราะหัวหน้าคงไม่ชอบใจหากเราปฏิเสธออกไปตรงๆ ดังนั้น แทนที่จะบอกว่าไม่อย่างเดียว เราอาจต้องแสดงออกด้วยว่าเราเข้าใจความจำเป็น แต่สถานการณ์ตอนนี้เราไม่พร้อมจริงๆ ปิดท้ายอย่าลืมบอกสิ่งที่เราพอจะช่วยได้ด้วยนะ
- ตั้งขอบเขตของตัวเองให้ชัดเจน: วิธีนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องรับแบกรับภาระไว้ที่ตัวคนเดียว รวมไปถึงยังช่วยให้เราไม่ถูกตั้งความคาดหวังที่ไม่สมจริงด้วย เพราะหากเรารับงานทุกอย่างทันที หัวหน้าก็อาจจะคิดว่าคุณทำไหว และตั้งความหวังสูงไปเรื่อยๆ เช่น ของานเร็วขึ้น ละเอียดขึ้น หรือเรียบร้อยยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าได้ ดังนั้น หากได้รับมอบหมาย อย่าเพิ่งรีบตอบรับงานทันที แต่อาจต้องดูว่างานนั้นอยู่ในขอบเขตของตัวเองหรือเปล่า หากไม่ใช่ก็ควรปฏิเสธงานนั้นไป
แม้ว่าการลองทำเป้าหมายที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ถ้าต้องเอาพลังและสุขภาพจิตของตัวเองเข้าแลกผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่าอย่างที่คิดก็ได้นะ
อ้างอิงจาก