พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ เพิ่มทั้งจำนวนวันลาคลอด ค่าจ้างระหว่างลา และยังมอบสิทธิให้คู่สมรสเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตร

นับเป็นก้าวสำคัญของสิทธิแรงงาน หลังจากเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) พ.ศ… ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวได้เพิ่มสวัสดิการให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยเฉพาะในส่วนของการลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร ที่ลูกจ้างจะได้รับวันลาคลอดเพิ่ม จากเดิม 98 วัน เป็นไม่เกิน 120 วัน พร้อมกับได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนจากเดิม 45 วัน เป็นไม่เกิน 60 วัน
และหากครบกำหนด 120 วันแล้ว บุตรมีอาการเจ็บป่วย เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน หรือภาวะพิการ ผู้ประกันตนสามารถลาต่อเนื่องได้อีกไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างร้อยละ 50 ตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 15 วัน ไม่เพียงเท่านั้น คู่สมรสของผู้ประกันตนที่ใช้สิทธิลาคลอดก็สามารถลาได้ด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตร และยังได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน แต่ไม่เกิน 15 วัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันก่อนหรือหลังคลอด
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการธิการวิสามัญพยายามให้ความสำคัญต่อสิทธิแรงงาน ที่ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศมากขึ้น ฉะนั้น แรงงานจำเป็นต้องได้รับสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ที่เหมาะสม ครอบคลุม ทั่วถึง และเท่าเทียม ภายใต้บริบทของสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานข้างต้นที่รอประกาศใช้ ขณะเดียวกันยังมี พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับแก้ไขอีก 2 ฉบับ ที่ผ่านวาระ 1 ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน (25 กันยายน) โดยมีเนื้อหาสำคัญดังนี้
- กำหนดให้เวลาทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากเดิม 48 ชั่วโมง
- ลูกจ้างต้องมีวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน จากเดิม 1 วัน
- ลูกจ้างที่ทำงานต่อต่อกันครบ 120 วัน มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่น้อยกว่า 10 วัน จากเดิมทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดไม่น้อยกว่า 6 วัน
- กำหนดให้การจ้างงานมีความเท่าเทียมในทุกด้าน นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างเรื่องความพิการ เพศสภาพ ศาสนา ฯลฯ
- ลูกจ้างมีสิทธิลาเนื่องจากมีประจำเดือน ไม่เกิน 3 วันต่อเดือน โดยไม่ให้ถือเป็นวันลาป่วยและไม่นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างลา
- ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิด ไม่เกิน 15 วันทำงานต่อปี
- การให้นมบุตรในที่ทำงาน กำหนดให้มีสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรในที่ทำงานไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ในช่วง 8 ชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีหลังคลอด

ดังนั้น ไม่ได้มีเพียงกฎหมายเพิ่มวันลาคลอดที่น่าจับตามอง แต่ยังมีร่างกฎหมายอีกมากมายที่ประชาชนคาดหวังให้ผ่าน เพื่อส่งเสริมสิทธิ สวัสดิการ และคุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราขอเน้นเนื้อหาไปที่ ‘สิทธิการลาคลอด’ เพราะเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านแล้ว รอเพียงบังคับใช้
แม้เป็นก้าวสำคัญ แต่สิทธิแรงงานยังไปได้ไกลกว่านี้
เซีย จำปาทอง สส.พรรคประชาชน ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การเพิ่มวันลาคลอดเป็นหนึ่งความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายเพื่อคนทำงาน ที่ขบวนแรงงานต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน แม้วันนี้เป้าหมาย 180 วันจะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่การนำเสนอแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อคนทำงาน
“พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับนี้ จะเป็นก้าวแรกสำคัญของการปรับปรุงสวัสดิการและสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทำงานในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้กับคนทำงาน”
แต่เขาย้ำว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานยังอีกยาวไกล เพราะยังมีสิทธิอีกมากมายที่ทุกคนต้องร่วมกันเรียกร้องให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานให้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ ผศ.ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงสิทธิการลาคลอดไว้ว่า เขาเห็นด้วยในการผลักดันสิทธิลาคลอด 180 วัน ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพราะสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดต่ำ หรือเด็กเกิดน้อย
“ในปี 2555 มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมใช้สิทธิคลอดบุตรมากกว่า 3 แสนครั้ง ทว่าในปี 2567 กลับเหลือเพียง 2.2 แสนครั้ง หรือลดลงราว 26 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้สะท้อนว่าอัตราการเกิดของเด็กลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราวัยแรงงานน้อยลงตาม ดังนั้น สังคมควรจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสวัสดิการสังคม เพื่อเอื้อให้คนรู้สึกเบาใจในการมีลูกมากขึ้น”

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุต่อไปด้วยว่า สิทธิลาคลอดเป็นเพียงมิติหนึ่งในการสร้างสวัสดิการทางสังคมเพื่อทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอุ่นใจ มั่นคงสำหรับการสร้างครอบครัว แต่ ‘การเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง’ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภาครัฐควรทำหน้าที่ในการส่งเสริมอย่างรอบด้าน เชื่อมโยงให้กลายเป็นชุดนโยบายการดูแลอย่างครบวงจร
ทั้งด้านการบริการ เช่น การบริการสุขภาพแม่และเด็ก ศูนย์เด็กเล็ก จนไปถึงสิทธิการมีชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม รวมทั้งการมีนโยบายด้านเวลาและนโยบายส่งเสริมความมั่นคงทางรายได้ อาทิ การมีเวลาพักสำหรับให้นมลูก การได้รับเงินสนับสนุนสำหรับลาคลอด
180 วัน คือ มาตรฐานเวลาที่พ่อแม่ควรมีหรือแบ่งมาดูแลลูก
WHO ส่งเสริมให้ทั่วโลกกำหนดวันลาคลอดเป็นเวลา 6 เดือน หรือ 180 วัน เนื่องจากทารกควรกินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนแรก และที่สำคัญหลังจากการคลอด ร่างกายของผู้ตั้งครรภ์ต้องใช้เวลาฟื้นฟู ทั้งระบบมดลูก ฮอร์โมน และสุขภาพจิตใจ ซึ่งการให้เวลาพักพอสมควร จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และโรคแทรกซ้อน
นอกจากนี้ สิทธิการลาคลอดและไปดูแลบุตรยังช่วยสร้างความผูกพันในครอบครัวอีกด้วย เพราะ 6 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาทองของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ที่มีผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสมองของทารก ที่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์
โดยสรุปแล้วการเพิ่มจำนวนวันลาคลอด ค่าจ้างระหว่างลา การมอบสิทธิให้คู่สมรสเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตร เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน ต่างกับยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง ที่แรงงานหญิงมักแฝงตัวอยู่ในรูปแบบของแรงงานภายในครัวเรือน มีหน้าที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงดูบุตร ช่วยเหลือกิจการครอบครัว ทำงานในด้านเกษตรกรรมและหัตกรรม

ทว่าบริบททางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ธุรกิจ และบริการขยายตัวเพิ่มขึ้น ผู้หญิงจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว แต่ก็ยังสามารถตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรตามเดิม
ในสังคมระหว่างประเทศตระหนักดีว่าการตั้งครรภ์และการให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นในการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษยชาติและเป็นเรื่องที่ย่อมเกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงเป็นเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่แรงงานที่ตั้งครรภ์จะต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามอนุสัญญาฉบับที่ 183 ว่าด้วยความคุ้มครองความเป็นมารดา ค.ศ.2000 ควบคู่ไปกับข้อแนะฉบับที่ 191 ว่าด้วยความคุ้มครองมารดา เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน สุขภาพ และความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ นายจ้างจะต้องไม่เลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศการตั้งครรภ์ เพื่อให้ลูกจ้างรู้สึกถึงความมั่นคง และก็จะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ในการทำงานอย่างเต็มที่ สร้างรายได้ให้แก่กิจการของนายจ้างและแก่ประเทศชาติ
เมื่อมองไปข้างหน้า สิทธิลาคลอดจึงไม่ใช่เพียง ‘วันหยุด’ ของแม่หรือพ่อเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนระยะยาวของทั้งสังคม การมีระบบสวัสดิการที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้แม่ลูกปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางครอบครัว เสริมสร้างแรงงานที่แข็งแรง และเพิ่มความมั่นใจให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะสร้างครอบครัวในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตประชากรเกิดน้อย
อ้างอิงจาก
ศิริรัตน์ ศิริยุวสมัย. ปัญหาการคุ้มครองสิทธิในการลาของผู้ตั้งครรภ์ในระหว่างการทำงาน (กันยายน 2019). Journal of MCU Nakhondhat Vol.6 No.7. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.