ริฮานน่าแบ่งโลกไว้สองใบ ใบหนึ่งเอาไว้ร้องเพลง ใบหนึ่งเอาไว้ขายของ – แฟนคลับชาวไทยแซวแม่ห่านศรีไว้แบบนั้น
พูดเป็นเล่นไป นี่ก็สามปีแล้วนะที่รีฮานน่า นักร้องแบดเกิร์ลคนดังเดบิวต์เป็นแม่ค้าเต็มตัว และไม่ปล่อยเพลงอีกเลย นอกจากไปแจมๆ ร้องร่วมกับศิลปินคนอื่น
ไม่มีเพลงก็ไม่เป็นไร แม่มีอาณาจักรหมื่นล้านในกำมือนะ จะบอกให้
The MATTER ชวนคนอ่านมาร่วมสำรวจ ผ่าอนาโตมีอาณาจักร FENTY ของแม่ค้าคนเก่งคนดัง ว่ามีอะไรบ้าง และอะไรคือเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ FENTY ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แตกไลน์โปรดักต์ออกมาไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ทำความรู้จัก ‘รีฮานน่า’ แม่ค้า เอ๊ย… นักร้องคนดังกันสักหน่อย
รีฮานน่า (หรือบางคนก็เรียก รีแฮนน่า, รีแอนนา) ชื่อเต็มๆ ว่า Robyn Rihanna Fenty (โรบิน รีฮานน่า เฟนตี้) เกิดเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1988 เธอเริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงตอนอายุ 16 ปี ด้วยการย้ายไปทำงานเพลงที่สหรัฐอเมริกาภายใต้คำแนะนำของโปรดิวเซอร์ อีแวนส์ โรเจอร์ (Evans Rogers)
แม้ว่าที่บ้านเกิดของเธอ เกาะบาร์เบโดส เธอจะเป็นสาวชาวเกาะที่สดใสร่าเริง สมวัย แต่เมื่อก้าวสู่วงการ เธอตัดสินใจเดบิวต์ด้วยภาพลักษณ์แบดเกิร์ลริริ อันเป็นชื่อเดียวกับอินสตาแกรมของเธอ (IG: Badgalriri) ผลงานเพลงเป็นที่ประจักษ์ ปล่อยซิงเกิลไหนออกมาก็ดังเปรี้ยงปร้างไม่มีพัก ทั้งยังข้ามอุตสาหกรรมไปเล่นหนังหลายเรื่องอีกต่างหาก
หลังจากเติบโตเป็นใหญ่เป็นโตในวงการเพลงมาพักใหญ่ รีฮานน่าก็เริ่มก้าวสู่วงการธุรกิจ ขณะที่ช่วงหลังๆ เธอปักหลักอยู่ที่ลอนดอนเพื่อโฟกัสกับธุรกิจแฟชั่น ที่เธอร่วมกับ LVMH Group ซึ่งเฮดควอเตอร์อยู่ที่กรุงปารีส
แน่นอนว่าในปีนี้ การทำเงินของเธอจากอาณาจักรความสวยงาม ก็ปังไม่หยุดหย่อน The Sunday Times ยกให้รีฮานน่าเป็นศิลปินหญิงที่รวยที่สุดในเกาะอังกฤษประจำปี ค.ศ.2020 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 18,000 ล้านบาท แล้วชื่อเธอก็ขึ้นทำเนียบ Forbes มาหลายปีแล้วด้วย
โอเค ไม่ว่าเธอจะดังแค่ไหน มีพลังโซเชียลมีเดียในมือมากเท่าไหร่ แต่เราเชื่อว่าความสำเร็จของเธอไม่ได้มาเพราะพลังแฟนดอม หรือโชคช่วย งั้นลองไปผ่าตัดอาณาจักรของโรบิน รีแฮนน่า เฟนตี้ กันดีกว่า ว่าเธอทำอะไรบ้าง และอะไร ทำให้เธอก้าวมาถึงจุดๆ นี้ (จุดที่ขายของเก่ง แต่ไม่ปล่อยเพลงสักที แซวน้าา)
Rihanna and The Fenty Kingdom
หลายคนคงคิดว่า ชีวิตแม่ค้านักธุรกิจของแบดเกิร์ลริริ เพิ่งเริ่มต้นตอนอาณาจักรเครื่องสำอาง Fenty ถือกำเนิด แต่ไม่ใช่นะ ก่อนหน้านั้นรีฮานน่า เธอก็ทำธุรกิจ ทำโปรเจ็กต์คอลแล็บ กระจุกกระจิกมาตลอดเวลาอยู่แล้ว
ค.ศ.2011 : เป็นปีแรกที่เธอเปิดตัวน้ำหอมขวดแรกของตัวเอง ในชื่อว่า ‘Reb’l Fleur’ ซึ่งยอดขายประสบความสำเร็จมาก คาดการณ์ว่าขายได้มากถึง 80 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนั้นเลยทีเดียว
ค.ศ.2012 : ปีถัดมาเธอก็ต่อยอดความสำเร็จ วางขายน้ำขวดที่ 2-3 ‘Rebelle’ และ ‘Nude’ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีไม่แพ้กัน
ค.ศ.2013 : และปีถัดมาอีก ขวดที่สี่ น้ำหอม ‘Rogue’ ก็ตามมาติดๆ ปีนี้เธอขยายมาทำน้ำหอมสำหรับผู้ชายด้วย ชื่อ ‘Rougue Men’
ค.ศ.2016 : แม้ประวัติการค้าขายของเธอจะเงียบหายไปราวสองปี (ช่วงนั้นเธอไปเปิดเอเจนซี ค่ายเพลงอยู่) แต่พอปี ค.ศ.2016 เธอก็กลับมา break the internet ด้วยการคอลแล็บโปรเจ็กต์ กับแบรนด์กีฬา ‘PUMA x Fenty’ ออกมาเป็นไลน์เสื้อผ้า และที่ลืมกันไม่ได้เลยคือ รองเท้าผูกโบว์รุ่นตำนาน ซึ่งสาวๆ ทั่วโลกตามหาซื้อกันให้ขวั่ก รีเซลกันราคาเดือดๆ
ค.ศ.2017 : ปีสำคัญในโลกธุรกิจของรีฮานน่า กับการเปิดตัวไลน์เครื่องสำอางค์ ‘Fenty Beauty’ ชื่อแบรนด์ที่มาจากนามสกุลของเธอ ที่ให้ความสำคัญต่อความหลากหลายในความงามผู้หญิง ช็อกโลกกันไปเลยด้วยรองพื้น 40 เฉด สำหรับสาวๆ ทุกสีผิว ในราคาที่จับต้องได้
Fenty Beauty เป็นการร่วมมือของรีฮานน่ากับ LVMH แฟชั่นลักชัวรีกรุ๊ปแห่งฝรั่งเศส รีฮานน่าบอกว่า เธออยากนำเสนอความงามสำหรับ ‘ทุกคน’ คือทุกเพศ ทุกผิวสี ทุกเชื้อชาติ เพราะเธอเชื้อว่าไม่ว่าใครก็สามารถมั่นใจและเป็นประกายได้ในแบบของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครมากำหนดค่านิยมความงามให้
“FENTY BEAUTY คือแบรนด์ที่ฉันสร้างเพื่อผู้หญิงทุกคน
ไม่ว่าคุณจะผิวสีไหน ตัวตนอย่างไร หรือมีทัศนคติ วัฒนธรรม และเชื้อชาติแบบไหน
ฉันแค่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเธอไม่ได้ถูกละเลย”
รีฮานน่าให้สัมภาษณ์เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้
ค.ศ.2018 : ถัดมาอีกปี รีฮานน่าหันมาจับธุรกิจชุดชั้นใน ‘Savage x Fenty’ ชั้นในที่ให้ผู้สวมใส่มั่นใจในไซซ์และสีผิวตัวเอง ด้วยการเลือกใช้ผ้าหลายเฉดสีผิว มันไม่ใช่คอลเลกชันชุดชั้นในสำหรับคนดังเท่านั้น แต่ผู้หญิงทุกคนใส่ได้ ไม่ว่าจะไซส์ไหน สีผิวไหน บางรุ่นรีฮานน่าเติมกิมมิกลูกไม้ในสไตล์ของตัวเองเข้าไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในวันเปิดตัว 11 พฤษภาคม ค.ศ.2018 ยอดขายเรียกว่าถล่มทลาย เว็บล่มกันไปเลย
ค.ศ.2019 : แน่นอนว่ามี inner แล้ว outer ก็ตามมาด้วย เธอเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้า ‘FEИTY’ ในปีนี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นดีไซเนอร์ผิวสีคนแรกของไฮแบรนด์ LVMH Group พาร์ทเนอร์กรุ๊ปของเธอ แน่นอนว่าเสื้อผ้าของเธอก็ยังสนับสนุนให้ทุกคนรักในตัวเอง เธอบอกว่าอยากให้เสื้อผ้า Fenty เอมพาวเวอร์ผู้หญิง สวมใส่แล้วดูมั่นใจและแสดงออกถึงความเข้มแข็งของผู้หญิง ด้วยการดีไซน์ให้มีซิลลูเอ็ต เน้นเส้นสายและโครงสร้างชุดที่ชัดเจน
ค.ศ.2020 : ไม่มีอะไรหยุดเธอได้จริงๆ ปีนี้เธอหันมาใส่ใจกับโปรดักต์ตอบโจทย์ผู้ชายกันบ้าง และแน่นอนว่าไม่ธรรมดาเพราะเธอเลือกที่จะเปิดตัวชุดชั้นในผู้ชายของ Savage x Fenty โดยเลือกนายแบบที่ไม่ใช่คนหุ่นดีทั้งหมด แต่รวมไปถึงนายแบบที่มีหุ่นเหมือนคนเดินถนนทั่วไป อ้วนบ้าง อวบบ้าง ซึ่งมันคือโจทย์เดียวกับที่เธอนำเสนอมาตลอด และอยากจะบอกทุกๆ คนบนโลกนี้ด้วยประโยคเดิมๆ แหละว่า ไม่ว่าจะหุ่นแบบไหน สีผิวแบบไหน เราสามารถเป็นตัวเองได้ใน Best Version เสมอ คอลเล็กชันสำหรับผู้ชายครั้งนี้ จึงเกิดขึ้นเพราะรู้ดีว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่เผชิญกับเรื่อง body shaming แต่ผู้ชายก็ด้วย
ปีนี้เซอร์ไพรส์อีกรอบด้วยนะ เพราะริฮานน่าเปรยๆ ว่าจะออกไลน์สกินแคร์ ‘Fenty Skin’ เพิ่มมาอีก รอดูกันต่อไป (ว่าแต่เพลงอยู่ไหน?)
การตลาดแบบแม่ค้า Rihanna
อย่างที่เราได้บอกไป เชื่อเถอะว่าความสำเร็จของริริไม่ได้มาจากโชคช่วย เพราะแม้จะมีคนดังหลายคนที่ทำธุรกิจแล้วปัง (เช่น ไคลี่ เจนเนอร์ (Kylie Jenner)) แต่มันมีเซเลบที่ทำธุรกิจแล้วพังอีกหลายคนที่สปอร์ตไลท์ไม่ได้ส่องไปเช่นกัน
นักการตลาดเขาบอกว่า อาณาจักร Fenty ก้าวสู่มูลค่าเกือบสองหมื่นล้านได้ ด้วย 3 เหตุผลนี้
1. ไม่กำหนดกลุ่มเป้าหมายตายตัว
การตลาดแบบ traditional บอกว่า คุณจะขายใคร มองให้เห็นลูกค้าก่อน แต่ไม่ใช่กับแบรนด์ Fenty – เป็นความจริง Fenty ไม่เคยมองเลยว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร? แต่เลือกลูกค้า ‘ทุกคน’ และผลิตโปรดักต์ตอบโจทย์ทุกคนจริงๆ แบบที่รีฮานน่าเคยบอกว่า แบรนด์ของเธอต้องการทำให้ ‘คนทุกคนบนโลกสวยและมีพลังในแบบฉบับของตัวเอง’
‘เจนิเฟอร์ โรเซลส์ (Jennifer Rosales)’ รองประธานอาวุโสของ Fenty เคยให้สัมภาษณ์ว่า “เราไม่มีกลุ่มเป้าหมาย มันคือแบรนด์ของทุกคน ทุกอย่างที่รีฮานน่าทำคือเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกคน เธออยากให้ทุกคนสวย มีพลัง และแข็งแกร่ง เป็น best version ของตัวเอง”
ตลอดมากลุ่มผู้บริโภคที่สีผิวเข้ม หรือพลัสไซส์ มักถูกแบรนด์เมนสตรีมละเลยมาโดยตลอด ทำให้การมาถึงของ Fenty กลายเป็นที่รักของพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับการเป็นที่รักก่อน และมันคือการตลาดแบบที่ ‘กำหนดตลาดโดยไม่กำหนด’ ซึ่งเป็นกุญแจความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของแบรนด์
2. นำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทุกอย่างที่ริฮานน่านำเสนอสดใหม่เสมอ และเลือกทำในสิ่งที่ตลาดไม่มีมาก่อน ไม่ว่าจะลองพื้น 40 เฉด ชุดชั้นในสำหรับคนทุกไซส์ หรือการเดินแฟชั่นโชว์โดยทรานส์เจนเดอร์ และน็อนไบนารี (ผู้ที่มีสำนึกทางเพศไม่ใช่ชายและหญิง) หรือคนจากหลากชาติพันธุ์
เธอทำให้แบรนด์อื่นๆ กระตือรือร้นตามที่จะตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มที่ถูกเพิกเฉย ก่อนหน้านั้นหลายแบรนด์อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นการลงทุนที่สูงเกินไป ถ้าทำ option เยอะขึ้น แต่แบรนด์ Fenty ทำให้เห็นว่า สุดท้ายทุกอย่างที่ผลิตก็มีกลุ่มลูกค้า เพราะมนุษย์ไม่ได้มีแค่แบบใดแบบหนึ่ง แต่มนุษย์คือความหลากหลาย
3. ไม่ปล่อยรายละเอียดไหนเล็ดรอดสายตา
ริฮานน่าลงทุนลงแรงกับทุกโปรดักต์และแบรนด์ของเธอ มีส่วนร่วมกับทุกวิธีคิดเพื่อให้สินค้าตอบโจทย์ลูกค้าทุกคน ไม่เคยปล่อยให้ทีมทำกันไปเอง เธอมักจะโปรโมตลงบนโซเชียลมีเดียถึงสิ่งที่เธอทำ หรือหลายครั้งในงานเปิดตัว เธอก็ลงไปขายของเองตามสไตล์แม่ค้า ใกล้ชิดกับลูกค้าเหมือนไม่ใช่นักร้องคนดัง
คนใน Fenty บอกว่า รีฮานน่าใส่ใจกระทั่งตัวป้ายสินค้า สวมใส่แล้วจะรู้สึกยังไง เอาออกง่ายแค่ไหน และป้ายสินค้าที่ไม่แย่งซีนสำหรับของที่จะนำไปเป็นของขวัญควรเป็นอย่างไร เธอใส่ใจถึงดีเทลระดับนี้เลย ซึ่งแน่นอนว่า แฟนคลับรู้ ทุกคนรู้ ถึงความตั้งใจของเธอกับอาณาจักรของเธอตลอดมา และเสมอไป
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลล่ะมั้ง ว่าทำไมผลงานเพลงยังไม่คลอดมาสักที
อ้างอิงข้อมูลจาก