การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เป็นอีกหนึ่งการจากไปสำคัญที่ไม่ใช่แค่การสิ้นพระชนม์ของประมุขของศาสนจักรที่สำคัญยิ่งของโลก แต่คือการล่วงลับของผู้นำ ซึ่งมีความคิดและนำศาสนจักรให้ก้าวไปข้างหน้า เรามักจะมองเห็นสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ในฐานะผู้นำศาสนจักรที่โอบรับความหลากหลาย หลายครั้งยังทรงมีความเห็นอันคมคายที่ตอบสนองต่อความขัดแย้งและความเป็นไปของโลก
หากกล่าวอย่างลำลองคือ พระองค์ทรงเป็นโป๊ปที่ทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ และทุกศาสนา ภายใต้การนำของพระองค์ ศาสนจักรได้โอบรับความหลากหลาย ทั้งยังทรงปรับให้อำนวยพรแก่คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือล่าสุดคือการที่วาติกันมี ‘มาสคอต’ ในปีศักดิ์สิทธิ์ (คือปี 2025)
ด้วยความก้าวหน้าและความหลากหลายนี้ พระองค์จึงทรงเป็นที่รู้จัก เป็นที่รัก ของทั้งศาสนิกชนและคนต่างศาสนา เรามองเห็นบทบาทการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ทรงมีท่าทีและเป็นผู้แนะแนวชี้นำต่อวิกฤติการณ์ต่างๆ ทั้งในระดับโลกและในการดำรงชีวิต หลายถ้อยคำของพระองค์เป็นถ้อยคำหรืออุปมาอันสำคัญ ซึ่งกลายเป็นตัวแทนของพระองค์ จากการกล่าวอย่างถ่อมตนต่อกรณีผู้มีความหลากหลายทางเพศ ถึงอุปมาเรื่องการ ‘สร้างสะพาน’ ไม่ใช่ก่อ ‘กำแพง’
“If a person is gay, and seeks God and has goodwill, who am I to judge?” — Pope Francis
“หากบุคคลนั้นเป็นเกย์ แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ปรารถนาดี เราเป็นใครเล่าจึงไปตัดสิน?”
ในพื้นที่ของศาสนจักร โดยเฉพาะพื้นที่อันเคร่งครัดของคริสตจักรคาทอลิก ความหลากหลายทางเพศอย่างการเป็นเกย์ ถือว่าผิดหลักความเชื่อเดิม รวมถึงพื้นที่ทางศาสนาซึ่งค่อนข้างเป็นพื้นที่ของผู้ชายเป็นสำคัญ ความโดดเด่นภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส คือการโอบรับความหลากหลาย หนึ่งในถ้อยคำสำคัญที่พระองค์ทรงตอบต่อนักข่าวในกรณีนักบวชหรือบาทหลวง เมื่อครั้งเสด็จกลับจากการเยือนบราซิลในปี 2013 ซึ่งถือเป็นการเสด็จอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง ในครั้งนั้นพระองค์ทรงตอบข้อซักถามของนักข่าว ต่อประเด็นเรื่องเพศสถานะในวาติกันอย่างเปิดกว้างและถ่อมตนว่า “หากบุคคลนั้นเป็นเกย์ แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ปรารถนาดี เราเป็นใครเล่าจึงไปตัดสิน?”
ในการตอบหรือเปิดซักถามกับสื่อครั้งนั้น พระองค์ยังกล่าวถึงการเพิ่มบทบาทสตรีในพื้นที่ศาสนจักรด้วย ทั้งนี้ในการตอบข้อซักถามต่อสื่อยังมีข้อสังเกตว่า พระองค์ได้ทรงรับฟังและตอบคำถามทุกคำถามจากสื่อมวลชน จนกินเวลากว่า 80 นาที ซึ่งแตกต่างไปจากสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน ที่จะเลือกเพียงบางคำถามไว้ล่วงหน้าและตอบเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะเสด็จกลับ พระองค์ยังทรงประทานสัมภาษณ์ โดยทรงตอบคำถามที่ซับซ้อน เช่น ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการปรากฏตัวของพระองค์ต่อสาธารณะ หรือความเห็นต่อการประท้วงของคนหนุ่มสาวในบราซิล
“Those who build walls will end up being prisoners of the walls they build” — Pope Francis
“ผู้ซึ่งก่อกำแพงย่อมถูกกักขังในกำแพงนั้น”
อุปมาหรือถ้อยแถลงว่าด้วยกำแพง เป็นอีกหนึ่งถ้อยคำที่คมคาย และถือว่าตอบต่อความเป็นไป นั่นคือการเมืองระดับผู้นำโลกได้อย่างคมคาย มุมมองของพระองค์ที่น่าจะถือได้ว่าทรงกล่าวต่อกรณีทิศทางของผู้นำ โดยเฉพาะกรณีการสร้างกำแพงของโดนัล ทรัมป์ ซึ่งรับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2017 โดยในปี 2019 ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้เสด็จกลับจากโมร็อกโก ได้ทรงตอบคำถามจากบนเครื่องบินถึงการสร้างแนวรั้วและกำแพง เพื่อกีดกันผู้อพยพทั้งในสเปนและสหรัฐฯ
พระองค์ทรงตอบว่า เหตุที่เรารู้สึกเจ็บปวด เมื่อเห็นผู้คนเลือกที่จะสร้างกำแพงแทนการสร้างสะพานคือ สำหรับผู้ที่สร้างกำแพงนั้นมักจะถูกกักขังโดยกำแพงที่ตนสร้าง ทว่าการสร้างสะพานซึ่งหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า สำหรับพระองค์การสร้างสะพานเป็นสิ่งที่เกือบพ้นวิสัยทั่วไป ด้วยว่าการสร้างสะพานต้องอาศัยความพยายามอย่างยิ่ง
(Why do we feel sad? Because those who build walls will end up being prisoners of the walls they build. Instead, those who build bridges will go forward. Building bridges, for me, is something that goes almost beyond human because it takes great effort)
มุมมองของพระองค์ รวมถึงการใช้อุปมาสะพานและกำแพง จึงกลายเป็นอุปมาสำคัญในโลกที่แบ่งแยก รวมถึงสอดคล้องกับมุมมองของพระองค์ที่มีต่อผู้อพยพ และอาจรวมถึงแนวทางศาสนจักรภายใต้การนำของพระองค์ที่เน้นการโอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
“Three words, which have helped so much in married life: ‘May I?’, ‘Thank you’, and ‘I’m sorry” — Pope Francis
“คำ 3 คำ อันจะช่วยอย่างยิ่งในชีวิตคู่ คือ ‘ได้ไหม’ ‘ขอบคุณ’ และ ‘ขอโทษ’”
ในการเสด็จเยือนเมืองคราเคา (Krakow) ประเทศโปแลนด์ มีธรรมเนียมหนึ่งซึ่งตกทอดจากสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (Pope John Paul II) คือพระสันตะปาปาจะปรากฏพระองค์ที่บริเวณหน้าต่างของสำนักพระสังฆราช และมีพระดำรัสต่อประชาชนบริเวณจัตุรัส โดยในปี 2016 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมีพระดำรัสต่อฝูงชน ในครั้งนั้นทรงเห็นว่าเป็นผู้ศรัทธาที่มีอายุน้อย และเป็นคู่แต่งงานใหม่เป็นจำนวนมาก
พระดำรัสในครั้งนั้นจึงประกอบด้วยข้อแนะนำเรื่องการครองเรือน การดูแลครอบครัวในคู่แต่งงานใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นข้อแนะนำต่อชีวิตประจำวัน พระองค์ทรงแนะนำคำสำคัญ 3 คำที่แสนเรียบง่ายสำหรับคู่แต่งงานหรือคู่รักที่กำลังแต่งงาน คือ คำว่า ‘ได้ไหม’ ‘ขอบคุณ’ และ ‘ขอโทษ’
“[Here] there are young families, newly-weds, many of you are married, others are about to get married: remember these three words, which have helped so much in married life: ‘May I?’, ‘Thank you’, and ‘I’m sorry”
“Never end the day without making peace” — Pope Francis
“อย่าจบวันโดยขุ่นเคืองใจต่อกัน”
ในพระดำรัสเดียวกันที่เมืองคราเคา พระองค์ยังมีอนุสติเตือนใจเพิ่มเติม ด้วยทรงให้ภาพความสัมพันธ์และความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งในการให้คำแนะนำของพระองค์ก็ยังคงเจือไว้ด้วยความถ่อมพระองค์ โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่สามีและภรรยาจะโต้เถียงถึงขั้นขึ้นเสียง ทะเลาะกันด้วยเรื่องหยุมหยิม หรือกระทั่งข้าวของบินในบ้าน พระองค์จึงทรงมีข้อแนะนำเล็กๆ ว่า เมื่อเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นของสามีภรรยา อย่าผ่านวันแห่งความขัดแย้งนั้น โดยไม่ได้ไกล่เกลี่ยหรือสร้างสันติซึ่งกันและกัน
“It is normal for husband and wife to argue and to raise their voices; they squabble, and even plates go flying! So do not be afraid of this when it happens. May I give you a piece of advice: Never end the day without making peace.”
HABEMUS PAPAM FRANCISCUM — Pope Francis
“We have Pope Francis”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสถือเป็นประมุขของศาสนจักร และเป็นโป๊ปที่ใกล้ชิดกับมวลชนและต่อโลกใบนี้ ส่วนสำคัญหนึ่งคือการเป็นประมุขยุคใหม่ที่เชื่อมต่อกับผู้คนผ่านสื่อ และในวันที่พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระสันตะปาปา ไม่ถึง 30 นาทีหลังได้รับเลือก พระองค์ก็ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ (ในขณะนั้น) ซึ่งถือเป็นทวิตแรกในรัชสมัย และถือเป็นการให้ภาพของประมุขยุคใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียในทันที
แอคเคาต์ทวิตเตอร์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นบัญชีทางการชื่อ @pontifex โดยเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ได้ลาออกจากตำแหน่ง ข้อความก่อนหน้าทั้งหมดถูกลบออก และทวิตแรกของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสคือ ข้อความประกาศความเป็นพระสันตะปาปา เมื่อการคัดเลือกจากพระคาดินัลได้ข้อยุติแล้วว่า Habemus Papam หมายถึง เรามีพระสันตะปาปาแล้ว
ทั้งนี้ คำว่า pontifex ยังมีนัยและรากศัพท์สำคัญ หมายถึง นักบวชหรือพระสังฆราชในฐานะผู้สร้างสะพาน (pons – สะพาน และ facere – การสร้าง) แปลความหมายได้ว่า นักบวชในฐานะผู้สร้างสะพานระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า และในบริบทร่วมสมัยที่ทางวาติกันนิยามบทบาทศาสนจักร และสมเด็จพระสันตะปาปาในฐานะผู้สร้างความกลมเกลียว อุปมาและนัยเรื่องสะพานจึงเชื่อมโยงกับปรัชญาของคริสตจักร รวมถึงบทบาทของสมเด็จพระสันตะปาปาอย่างลึกซึ้ง
“There can be no peace without freedom” — Pope Francis
“สันติสุขไม่อาจบังเกิดได้ เมื่อไร้อิสรภาพ”
การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ถือเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างไม่คาดฝัน เนื่องด้วยหลังจากมีข่าวว่า พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร ในวันอีสเตอร์พระองค์ก็ได้ปรากฏและมีพระดำรัส ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นปัจฉิมโอวาทในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2025 (พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 26 เมษายน 2025) การปรากฏพระองค์ที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในวันนั้น พระองค์ทรงกล่าวอำนวยพรสั้นๆ โดยให้พระอัครสังฆราช (Archbishop) ทำการอ่านข้อความที่พระองค์ทรงเขียนเนื่องในโอกาสวันอีสเตอร์
พระโอวาทของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งถือเป็นโอวาทสุดท้ายนั้น ทรงกล่าวถึงหลายประเด็น ทั้งจากเหตุการณ์วันอีสเตอร์ ไปจนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก พระองค์ทรงวิงวอนและกล่าวถึงความสงบสุขสำคัญอย่าง ‘สันติสุข’ มีความตอนหนึ่งทรงกล่าวไว้ว่า สันติสุขเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงความเคารพในมุมมองของผู้อื่น
“There can be no peace without freedom of religion, freedom of thought, freedom of expression and respect for the views of others”
อ้างอิงจาก