“กฎหมายที่ทำให้คนรักร่วมเพศเป็นอาชญากร คือความอยุติธรรม เพราะคน LGBTQIA+ เป็นลูกของพระเจ้าเช่นกัน พวกเขาสมควรได้รับการต้อนรับจากคริสตจักร” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวกับนักข่าว หลังกำลังเดินทางกลับหลังจากการเยือนซูดานใต้ เมื่อวานนี้ (6 กุมภาพันธ์)
การแสดงความคิดเห็นของเขาได้รับการสนับสนุนจากอาร์คบิชอป จัสติน เวลบี แห่งแคนเทอร์เบอรี (Justin Welby) และผู้ดูแลคริสตจักร เอียน กรีนชิลด์ แห่งสกอตแลนด์ (Iain Greenshields) ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ร่วมเดินทางไปยังซูดานใต้ เพื่อเรียกร้องสันติภาพในประเทศที่เสียหายจากสงคราม กับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
“ผมเห็นด้วยกับทุกคำที่เขาพูด” อาร์คบิชอปเวลบีกล่าว นอกจากนี้ กรีนชิลด์ยังอ้างถึงพระคัมภีร์ไบเบิลโดยกล่าวว่า “ไม่มีที่ไหนเลยในพระวรสารทั้งสี่เล่มที่พระเยซูจะไม่ทรงแสดงความรักต่อใครก็ตามที่เขาพบ และในฐานะคริสเตียนนั่นการแสดงความรักเป็นเพียงอย่างเดียวที่เราสามารถมอบให้ใครก็ได้”
ในระหว่างการแถลงข่าว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงย้ำถึงมุมมองที่ว่า เขาไม่เห็นด้วยที่คริสตจักรคาทอลิกไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานตามพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักเพศกำเนิดเดียวกัน พร้อมย้ำว่ากฎหมายห้ามคนเพศกำเนิดเดียวกันรักกันเป็น ‘ปัญหาที่ไม่อาจเพิกเฉยได้’
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีประมาณ 50 ประเทศที่มีกฎหมายลงโทษ LGBTQIA+ ทางอาญา และมี 10 ประเทศมีกฎหมายประหารชีวิต “สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ คือบุตรของพระเจ้าเช่นเดียวกัน” สมเด็จพระสันตะปาปาแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายเหล่านี้
ทั้งนี้ ภายใต้หลักคำสอนของคาทอลิกในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกันยังถูกเรียกว่าเป็น ‘พฤติกรรมเบี่ยงเบน’ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวว่า เขากังวลกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ชาวคาทอลิกหัวโบราณออกมาวิพากษ์วิจารณ์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสว่า “เขามีความคลุมเครือเกี่ยวกับศีลธรรมทางเพศ” เพราะในปี 2013 หลังจากที่เขาขึ้นเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาได้ไม่นาน เขายืนยันจุดยืนของคริสตจักรคาทอลิกว่า “การรักร่วมเพศเป็นบาป”
แต่ 5 ปีต่อมา ระหว่างที่เขาเยือนไอร์แลนด์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสกลับกล่าวว่า “พ่อแม่ไม่ควรปฏิเสธลูกที่เป็น LGBTQIA+ จงรักพวกเขาเพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เขากล่าวสนับสนุนคนจากกลุ่มนี้
“พระเจ้ารักพวกเขา พระเจ้าติดตามพวกเขา… การประณามพวกเขาแบบนี้ถือเป็นบาป” พระสันตะปาปากล่าวปิดท้าย
อ้างอิงจาก