ข้อมูลจาก Climate Central ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลกมีสาเหตุหลักมาจาก ‘ภาวะโลกรวน’ ที่เร่งให้ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่งผลให้หลายประเทศต้องเผชิญความเสี่ยงน้ำท่วมรุนแรง รวมถึงประเทศไทยที่ถูกจัดอยู่ใน 10 ประเทศเสี่ยงสูงที่สุด โดยในแต่ละปี น้ำท่วมสร้างความเสียหายให้กับไทยเฉลี่ยราว 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 98,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 ประชากรราว 1 พันล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในจีน บังกลาเทศ อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และไทย จะต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ ขณะที่ปัจจุบัน หลายพื้นที่ของไทยกำลังเจอกับพายุบัวลอย ซึ่งทำให้ภาคเหนือเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมซ้ำเติม
เมื่อภัยน้ำท่วมกลายเป็นข่าวที่เราได้ยินแทบทุกปี จึงเกิดคำถามสำคัญตามมา เช่น สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร และเราจะหาทางลดปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่? The MATTER ชวนทุกคนร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน
ไทยเผชิญวิกฤต ‘โลกรวน’ รุนแรง ติดอันดับต้นๆ ของโลก

โครงการสังเกตการณ์โลกแห่งสหภาพยุโรป (Copernicus Climate Change Service) ระบุว่า ปี 2025 อุณหภูมิพื้นผิวอากาศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในขณะเดียวกันนั้น อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในหลายภูมิภาคทั่วโลกก็สูงขึ้นไม่แพ้กัน ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศ ภัยพิบัติ และน้ำท่วมมากยิ่งขึ้น
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ‘โลกรวน’ อย่างรุนแรงและติดอันดับต้นๆ ของโลก วิกฤตที่ไทยกำลังเผชิญมากที่สุดในตอนนี้คือ ฝนตกหนักและน้ำท่วม โดยในปี 2567 รัฐบาลอนุมัติงบกลาง 3,045 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน และมีการอนุมัติงบเพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท สำหรับเยียวยาผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ ทว่าปีนี้ก็ยังเกิดน้ำท่วมฉับพลันอีกหลายจุดของไทยเช่นเคย แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
Greenpeace องค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ‘สภาวะน้ำท่วมฉับพลัน’ ถือเป็นข้อถกเถียงสำคัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 สืบเนื่องจากเหตุน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในภาคเหนือตอนบนของไทย ในช่วงเดือนกันยายน ที่สร้างผลกระทบทั้งความสูญเสียและเสียหายเป็นอย่างมาก
“ในตอนนั้นสายตาของสังคมพุ่งไปยังชุมชน ที่อาศัยอยู่บนดอยว่าเป็นต้นตอของการทำลายป่า แต่จริงๆ แล้ว สภาพภูมิอากาศสุดขั้วไม่ว่าจะพายุหรือน้ำท่วมรุนแรง ที่หลายพื้นที่ของประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ได้มีที่มาเพียงแค่การหายไปของพื้นที่ป่าไม้ แต่ยังเป็นผลของการก่อก๊าซเรือนกระจกมหาศาลและกินเวลายาวนาน ของภาคอุตสาหกรรมหลายส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมฟอสซิล อย่างน้ำมัน ถ่านหิน เหมือง และอุตสาหกรรมเกษตรและเนื้อสัตว์”

องค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เสริมว่า บริษัทเหล่านี้ถือเป็นผู้ที่ก่อวิกฤตโลกรวน และอุทกภัยที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งสะท้อนได้ถึงความไม่เป็นธรรมทางผลกระทบที่เกิดขึ้น ท่ามกลางโครงสร้างการจัดการของรัฐและการกำหนดนโยบาย ที่ไม่ได้มองผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีภาระรับผิด ขณะที่ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตโลกรวน คือ ผู้ที่ก่อมลพิษน้อยที่สุด
“เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคเหนือเมื่อปี 2567 สะท้อนภาพความไม่เป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (climate Injustice) ได้อย่างชัดแจ้ง เพราะอุตสาหกรรมรายใหญ่กลับไม่เป็นที่พูดถึง แม้จะเป็นต้นเหตุของโลกรวนก็ตาม ดังนั้นแล้วสิ่งที่รัฐบาลต้องรีบนำมาดำเนินการ คือ climate action หรือการต่อกรกับความเร่งด่วนของผลกระทบ ต้องออกมาตรการควบคุมและเอาผิดบริษัทอุตสาหกรรม ที่เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
น้ำท่วมไทยซ้ำซาก เพราะรัฐยังจัดการไม่ดี?
SDG Move ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ระบุว่า ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 วิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลเน้นการรับมือ (coping) มากกว่าการสนับสนุนการปรับตัว (adaptation) มักทุ่มงบประมาณไปแก้ปัญหาปลายเหตุ
เช่น การสร้างเขื่อนหรือแนวป้องกันน้ำท่วม ที่งบดังกล่าวมีมูลค่าถึง 41,000 ล้านบาท ตีเป็นร้อยละ 76 จากงบประมาณป้องกันน้ำท่วม 53,000 ล้านบาท ขณะที่การวางแผน วิจัย และเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาต้นเหตุของปัญหาน้ำท่วม ได้รับการจัดสรรงบเพียงร้อยละ 0.8 ของงบประมาณทั้งหมด
“รัฐบาลยังคงวนเวียนอยู่กับความคิดเดิมๆ ที่จะเอาชนะธรรมชาติ ด้วยโครงสร้างวิศวกรรม แต่วิธีการเช่นนี้กลับสร้าง ‘ความหลงเข้าใจผิด คิดว่าปลอดภัยแล้ว’ (false sense of security) การพึ่งพาโครงสร้างป้องกันอย่างเดียว อาจทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่าแก้ปัญหาแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงยังไม่ได้แก้ไขต้นเหตุ หรือการวางแผนที่ยั่งยืน ผลลัพธ์คือความเสียหายที่รุนแรงยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้โอกาสในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศลดลง”

การอยู่ร่วมกับน้ำ (Room for the River)
ศูนย์วิจัยฯ เสนอการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนว่า จำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานแนวทางหลายด้าน เช่น การใช้วิศวกรรมแบบนุ่มนวล (soft engineering), การฟื้นฟูป่าไม้ และการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (nature-based solutioms) นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างการแก้ปัญหาน้ำท่วมของประเทศจีน ที่คิดค้นโครงการ ‘เมืองฟองน้ำ’ (sponge city) ที่มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ซึมซับน้ำ โดยการใช้แนวทางธรรมชาติ เช่น สวนหย่อม
หรือแนวคิด ‘การอยู่ร่วมกับน้ำ’ (room for the river) ของเนเธอร์แลนด์ ที่ไม่สร้างเขื่อนกั้นน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยอมเปิดพื้นที่ให้แม่น้ำได้ไหลหลาก เช่น การย้ายแนวตลิ่ง ปรับพื้นที่ริมแม่น้ำเป็นแก้มลิงธรรมชาติ หรือสวนสาธารณะน้ำท่วมได้ และญี่ปุ่นที่มีโครงการอุโมงค์ยักษ์กักเก็บน้ำ (underground flood storage) เช่น ในโตเกียวจะมีอุโมงค์และถังเก็บน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ เพื่อเก็บน้ำฝนและน้ำท่วม ก่อนค่อยๆ ระบายออกสู่แม่น้ำ
พร้อมกันนั้นยังเสริมว่า การแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องฟื้นฟูป่าไม้ และป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อช่วยกักเก็บน้ำและการไหลบ่าของน้ำฝน
โลกรวนกระทบทุกคน แต่ภาคเกษตรคือด่านแรกที่เผชิญวิกฤตหนักที่สุด
รายงานของ UNDP พูดถึงผลกระทบของภาวะโลกรวนว่า ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคส่วนที่ควรได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะความแปรปรวนทางสภาพอากาศส่งผลกระทบโดยตรง
ปัจจุบันประชากรกว่า 12 ล้านคนในประเทศไทยทำงานในภาคเกษตรกรรม เมื่อสภาพอากาศแปรปรวน เช่น อุณหภูมิสูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนผันผวน ชีวิตของเกษตรกรจึงเผชิญความยากลำบากมากขึ้นจากความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ

ทั้งนี้ ข้อมูลบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยปี พ.ศ. 2561 ภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 15.69% จากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งถือว่าน้อยหากเทียบกับภาคส่วนอื่นๆ แต่เกษตรกลับเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและปรับตัวได้ยากที่สุด เนื่องจากการทำเกษตรกรรมขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
นอกเหนือจากเกษตรกร ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่างส่งผลกระทบต่อประชากรไทยทุกคน ทั้งด้านสุขภาพ การเข้าถึงสาธารณูปโภค และที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบาง อย่างไรก็ดี โลกรวนกระทบกับทุกคน ไม่เว้นแต่คนในเมืองที่มีสถานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เนื่องจากการที่โลกแปรปรวนเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ฝนตกแช่ หรือฝนตกหนักกะทันหัน เกิดน้ำท่วมขังชั่วคราว ซึ่งกระทบต่อการเดินทาง กระทบต่อเศรษฐกิจจากค่าเสียโอกาส ที่เกิดจากปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น
ไทยติดกับดักฟื้นฟู แต่ไร้แผนป้องกันภัยล่วงหน้า
ผศ.ดร.ธิดา ไชยปะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับ Policy Watch จาก Thai PBS ถึงแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานจากภัยพิบัติที่เกิดจากโลกรวน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ว่า
“อยากทำให้ภาครัฐตื่นตัวออกแบบนโยบายในเชิง ‘ป้องกัน’ มากกว่า ‘ฟื้นฟูเยียวยา’ เนื่องจากข้อมูลในแต่ละปีระบุว่า ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูเยียวยาหลังภัยพิบัติสูงมาก”
ธิดา กล่าวต่ออีกว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีการใช้เทคโนโลยี เพื่อมาใช้คาดการณ์ภัยพิบัติล่วงหน้า อย่างไรดี ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในการทำแผนที่ GIS เพื่อดูแลพื้นที่เสี่ยงภัยและจัดทำแผนป้องกันในอนาคต อีก 20 ปี หรือมากกว่า 50 ปีข้างหน้า สำหรับคาดการณ์ว่าพื้นที่ไหนเสี่ยงเจอภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม
“การแก้ปัญหาหลังเกิดภัยพิบัติ ทำให้เกิดความเสียหายและต้องใช้งบประมาณในการแก้ไขจำนวนมาก โครงการศึกษาวิจัยจึงต้องการลงพื้นที่เพื่อศึกษา และจัดทำแผนเคลื่อนย้ายผู้คนก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ เพราะไม่อยากให้เป็นวัวหายแล้วล้อมคอก หลังเกิดเหตุการณ์แล้ว”

นอกจากนี้ เธอยกตัวอย่างกรณีหมู่บ้านห้วยขาบ จังหวัดน่าน ที่คนในพื้นที่จำเป็นต้องโยกย้ายถิ่นฐาน เนื่องด้วยทั้งหมู่บ้านต้องประสบกับดินถล่มและฝนตกหนักต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีนโยบายป้องกันภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม
“ที่ผ่านมาการปรับตัวมักเกิดขึ้นในระดับปัจเจกบุคคลมากกว่าภาครัฐ อย่างที่นครศรีธรรมราช เราพบว่าชาวนาในพื้นที่ที่น้ำท่วมซ้ำซาก ปรับตัวด้วยการปลูกปาล์มน้ำมันหรือพืชชนิดอื่นที่ทนต่อน้ำแทนการปลูกข้าว”
โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาน้ำท่วม ที่ทวีความรุนแรงขึ้นแสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาโครงสร้างป้องกันน้ำเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ประเทศไทยจำเป็นต้องหันมาใช้แนวทางบูรณาการ ทั้งการฟื้นฟูธรรมชาติ การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน และการสร้างความพร้อมทั้งในระดับชุมชนและนโยบาย หากยอมรับว่ามรสุมและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นความจริงที่ต้องอยู่ร่วม เราก็จะสามารถวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
อ้างอิงจาก