เราคงจะเห็นตรงกันว่า สัปดาห์ที่ผ่านๆ มา ถือเป็นช่วงเวลาที่แสนสาหัสสำหรับหลายประเทศ ในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
ตั้งแต่เหตุการณ์ ‘มหาอุทกภัยภาคใต้’ ที่สร้างความสูญเสียให้กับคนไทยอย่างไม่อาจย้อนกลับ โดยรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายนจนถึงปัจจุบัน มีประชาชนได้รับผลกระทบถึง 3,901,155 คน ใน 12 จังหวัดทางภาคใต้ และมียอดผู้เสียชีวิตถึง 176 คน
ขณะที่หมู่เกาะอินโดนีเซียก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำท่วม ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 604 คน และมีผู้สูญหาย 464 คน อีกทั้งทำให้ประชาชนเกือบ 300,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย โดยบ้านเรือนเกือบ 3,000 หลังได้รับความเสียหาย และในจำนวนนั้น มีบ้านกว่า 827 หลัง ที่ถูกกระแสน้ำพัดจนพังราบหายไป
ส่วนรัฐบาลศรีลังกาก็ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังเกิดน้ำท่วมและดินโคลนถล่มร้ายแรง โดยประธานาธิบดีอนุรา กุมาร ดิสซานายาเก แถลงต่อสื่อว่า ประเทศกำลังเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ “ครั้งใหญ่ที่สุดและท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา” โดยมีรายงานผู้เสียชีวิต 366 ราย สูญหาย 367 ราย และบ้านเรือนเสียหายมากกว่า 20,000 หลัง

ภาพสถานการณ์น้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 (Photo by ARNUN CHONMAHATRAKOOL / THAI NEWS PIX / AFP)
จนถึงปัจจุบัน ‘1,150 ชีวิต’ คือจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกประเมินจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และศรีลังกา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงไม่แน่นอน จนกว่าสถานการณ์ในแต่ละประเทศประเทศจะคลี่คลายลง–แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ วิกฤตครั้งนี้กำลังสร้างแผลฉกรรจ์ให้กับประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาแค่ไหนจึงจะเยียวยาให้หายดี
ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้นำไปสู่คำถามว่า วิกฤตครั้งนี้เกิดจากอะไร เชื่อมโยงกันอย่างไร และที่สำคัญที่สุด “ต่อจากนี้ เราจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างไร” เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นครั้งนี้อีก–The MATTER ได้พูดคุยกับ ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการองค์กรไคลเมท คอนเนคเตอร์ส (Climate Connectors) เพื่อหาคำตอบเหล่านี้
เข้าใจความเชื่อมโยงของวิกฤต
“เหตุการณ์ที่ภาคใต้ อุทกภัยภาคใต้ จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกกันอย่างโดดเดี่ยว” ธารากล่าวถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และศรีลังกา

ผู้ก่อตั้งกรีนพีซ (Greenpeace) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากเราย้อนกลับไปดูในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราจะเห็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงและต่อเนื่องกัน ตั้งแต่การก่อตัวของพายุหมุนเซนยาร์ (Senyar) เหนือช่องแคบมะละกา ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง และคลื่นสูงบนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย จนถึงภาคใต้ของไทยและบางส่วนของมาเลเซีย พายุหมุนดีตวาห์ (Ditwah) ที่เกิดขึ้นอยู่แถวๆ อ่าวเบงกอล แล้วพัดขึ้นฝั่งที่ประเทศศรีลังกา จนเกิดน้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ รวมถึงไต้ฝุ่นโคโตะ (Koto) ที่ได้ก่อตัวขึ้นและหมุนอยู่ในทะเลจีนใต้
ธารากล่าวว่า พายุเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจาก ‘แถบความชื้น’ บริเวณละติจูดที่ 10 องศาเหนือเส้นศูนย์สูตร
หรือหากดูจากแผนที่โลก แถบความชื้นที่ว่านี้ ก็จะเป็นเส้นที่ลากจากประเทศฟิลิปปินส์ แล้วข้ามทะเลจีนใต้มา ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว มาเลเซีย จากนั้นก็ข้ามมาทางคาบสมุทรมลายูภาคใต้ ทางภาคใต้ของไทยและตอนเหนือของมาเลเซีย ก่อนจะวิ่งข้ามออกทะเลอันดามัน ไปที่อ่าวเบงกอล ประเทศศรีลังกา

แผนที่สภาพอากาศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 cr.Zoom Earth
ทำความรู้จัก ‘แถบความชื้น’
ธาราระบุว่าแถบความชื้นดังกล่าว “ไม่ได้เกิดตลอด” แต่ในช่วงที่ผ่านมามีเงื่อนไข 3 ประการที่บังเอิญ “มาเจอกันพอดี” จนทำให้เกิดสถานการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้
หนึ่ง การปะทะกันของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (หรือมรสุมลมหนาว) กับความกดอากาศต่ำ ที่อยู่บริเวณละติจูดที่ 10 เหนือเส้นศูนย์สูตร จนเกิดเป็น ‘ช่องทางด่วน’ ที่เปิดโอกาสให้ความชื้นมารวมตัวกัน ในลักษณะที่เข้มข้นมากๆ จากนั้นก็เดินทางเคลื่อนตัวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นฝนที่ตกลงมา
สอง ปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ซึ่งทำให้ความชื้นยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยธาราอธิบายคร่าวๆ ว่าหากช่วงปีไหนที่มีปรากฏการณ์ลานีญา ช่วงปีนั้นก็จะมีฝนตกชุกกว่าปกติ
สาม ขบวนพายุที่หมุนรอบแนวเส้นศูนย์สูตร เคลื่อนผ่านแถบช่องแคบมะละกา ประเทศมาเลเซียพอดี จึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้แถบความชื้นดังกล่าว “ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น” ทั้งในแง่ของการสะสมความเข้มข้น ความชื้น และไอน้ำที่อยู่ในแถบนี้
เมื่อแถบความชื้นดังกล่าวก่อตัวขึ้นแล้ว ก็จะลำเลียงเอาความชื้นหรือไอน้ำปริมาณมหาศาล ที่ระเหยจากมหาสมุทร เข้าไปอยู่ในแถบเดียวกันนั้น แล้วลำเลียงต่อไปบนเส้นทางเดียวกัน โดยเขาบอกว่า แถบความชื้นนั้นสามารถบรรจุน้ำได้ “หลายๆ ล้านๆ แกลลอน” และอาจก่อตัวเป็นพายุ จนเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแถบความชื้นดังกล่าว เคลื่อนตัวเข้าหาแผ่นดิน แล้วเจอกับภูเขา หรือปะทะกับแผ่นดิน ก็อาจเกิดเป็นฝนที่ตกลงมาได้
เขาเปรียบเทียบแถบความชื้นดังกล่าวว่า คล้ายๆ (แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว) กับปรากฏการณ์ ‘แม่น้ำบนท้องฟ้า (Atmospheric Rivers)’ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคแปซิฟิกเหนือ ซึ่งเป็นต้นตอของอุทกภัยร้ายแรงในแคลิฟอร์เนีย

สถานการณ์น้ำท่วมในศรีลังกา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 (Photo by ISHARA S. KODIKARA / AFP)
เราอาจใช้แถบความชื้นดังกล่าว มาช่วยอธิบายปรากฏการณ์ที่ฝนตกอย่างรุนแรง และตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไล่เรียงมาตั้งแต่ศรีลังกา มาจนถึงมาเลเซีย เกาะสุมาตราตอนเหนือ ภาคใต้ของไทย แล้วก็ตรงตอนเหนือของมาเลเซียในบอร์เนียว แล้วก็บางส่วนของเวียดนามตอนใต้
“เป็นเหมือนกับเหตุการณ์ที่มันเชื่อมโยงกับสภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ที่มันต่อเนื่องกัน”
Climate Change ทำให้ปรากฏการณ์นี้รุนแรงขึ้น
เมื่อเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่า “หรือภาระโลกเดือดที่เรากำลังเผชิญอยู่ จะทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้น?”
ย้อนกลับไปในวันที่ 12 ธันวาคม 2015 ผู้นำจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก รวมตัวกัน ณ กรุงปารีส เพื่อหารือในข้อตกลงสำคัญ ที่ให้คำมั่นว่า จะร่วมกันหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
สัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)’ ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาว เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม เพราะหากอุณหภูมิโลกสูงเกินตัวเลขดังกล่าวไปแล้ว โลกก็อาจเข้าสู่ ‘จุดพลิกผัน’ หรือจุดที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลายจนไม่อาจหวนคืนสภาพเดิมได้อีก

จอห์น เคอร์รี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อุ้มหลานสาว ขณะลงนามในข้อตกลงปารีสที่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2016 (Photo by Jemal Countess / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ปี 2024 เป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก สูงขึ้นกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรมไปแล้ว
“เมื่อเราข้ามเส้น 1.5 องศาเซลเซียส ของความตกลงปารีส […] เราก็จะเห็นปรากฏการณ์ที่เป็นเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว มันเพิ่มถี่ขึ้น” ธาราระบุ
ในวันที่อุณหภูมิของโลกเกินจุดพลิกผันแล้วนั้น เขากล่าวว่า “ความถี่ของมัน (เหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว) ความรุนแรงของมัน มันจะเข้มข้นขึ้น กระชั้นขึ้น” อันเนื่องมาจากการที่อุณหภูมิเฉลี่ยในโลก เกินจุดพลิกผัน–จุดที่เราตั้งไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส
หากจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ธาราเล่าถึง “ฝนตกร้อยปี ฝนตกพันปี” คำพูดที่หลายๆ คนเคยได้ยิน ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่า ฝนตกครั้งนี้หนักที่สุดในคาบเวลาต่างๆ โดยเขาบอกว่า “แต่คาบเวลาที่ว่าเนี่ย มันจะสั้นลง” และต่อจากนี้ไปแทนที่จะเกิดวิกฤตฝนตกหนักหนึ่งครั้งในรอบ 100 ปี ก็อาจจะ “เหลือสัก 10 ปี” หรือถ้าเป็นฝนตกหนักหนึ่งครั้งในรอบ 10 ปี ก็อาจจะ “เหลือแค่ปีเดียว”
ทีนี้กลับมาที่เรื่องมหาอุทกภัย เขาย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ “เชื่อมโยงกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแน่นอน” เพราะเมื่อโลกเราข้ามเส้น 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว โลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนไอน้ำในชั้นบรรยากาศก็มีมากขึ้น
“เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเคยเกิดเป็นระยะเวลานานๆ มันก็จะเกิดถี่ขึ้น” เขาระบุ
มรสุมรูปแบบใหม่ แต่การรับมือยังเป็นแบบเดิม
เมื่อพูดถึงการรับมือ ธาราเล่าถึงการเตรียมพร้อมสำหรับปรากฏการณ์ ‘แม่น้ำบนท้องฟ้า (Atmospheric Rivers)’ ของสำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration หรือ NOAA) ซึ่งที่ผ่านมาได้ศึกษาปรากฏการณ์นี้เป็นอย่างดี
“คือจริงๆ แล้วมันสามารถทำนายได้ และพยากรณ์ได้ว่า มัน (Atmospheric Rivers) วิ่งมายังไง ความชื้นเท่าไหร่ จะตกตรงไหน” ธาราระบุว่า NOAA จะจำแนกระดับปรากฏการณ์เป็น 5 ระดับ โดยหากเกิดขึ้นเพียงระดับที่ 1 ก็ไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไร ซ้ำฝนตกแล้วยังสร้างความชื้น ที่ทำให้เกษตรกรรมมีน้ำใช้ในหน้าแล้ง หรือเกิดประโยชน์อื่นๆ ได้อีกด้วย

สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หาก Atmospheric Rivers รุนแรงถึงระดับที่ 3, 4 หรือ 5 แล้ว หน่วยงานต่างๆ ก็จะมีมาตรการรับมือ เช่น การเตือนภัยประชาชน การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน จนถึงการอพยพ ซึ่งธาราเล่าว่า “เมื่อเขามีระดับเตือนภัย เขาก็จะเตรียมตัวได้ง่ายขึ้น”
เขาย้ำว่า สหรัฐอเมริกามีการศึกษาเรื่องนี้มาอย่างละเอียดและวางระบบเพื่อรับมือกับปรากฏการณ์นี้มาเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อาจจะยังไม่มีการเตรียมพร้อมด้านนี้
หากเราหันมามองที่ประเทศไทย จะพบว่า “ระบบการพยากรณ์ของเรา ก็แค่บอกว่า ฝนตกลงมาเท่านี้มิลลิเมตร ตกกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ น้ำขึ้นสูงเท่านี้” ซึ่งในมุมมองของธารา ระบบที่การพยากรณ์ประเทศไทยและทั้งอาเซียนมีอยู่นั้นยัง “เบสิก (พื้นฐาน) มากๆ” และอาจไม่รองรับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ‘รูปแบบใหม่’ ที่อาจรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น และสร้างอันตรายให้ประชาชนได้มากกว่าเดิม
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว การรับมือที่ดีของรัฐบาลจะมีหน้าตาแบบไหน?
ธาราชวนให้เรารู้จักกรอบอาเซียนว่าด้วยการดำเนินการล่วงหน้าในการจัดการภัยพิบัติ (Anticipatory Action in Disaster Management) ที่เขาเรียกย่อว่า A.A. เป็นแผนปฏิบัติการในระดับภูมิภาคอาเซียน ที่มุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไปเมื่อหลายปีก่อน
“อันนี้มันอยู่บนกระดาษ” เขากล่าวว่า จริงๆ แล้ว กรอบความร่วมมือ A.A. จะเกิดประโยชน์อย่างมาก หากถูกใช้เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ที่นอกเหนือจากแค่ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ หรือเรื่องพื้นฐานที่ทำอยู่ตอนนี้
ธาราเสนอว่า กรอบนี้ควรจะครอบคลุม การพยากรณ์พายุหมุนที่ชัดเจนและละเอียดยิ่งขึ้น เช่น ระบุได้ว่าพายุจะวิ่งไปทางไหน หรือจะทำให้ฝนตกหนักในพื้นที่ใดบ้าง รวมถึงการพยากรณ์ Atmospheric Rivers ที่ “ถูกมองข้ามไป” เพราะปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเฉพาะช่วงมรสุมในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และไม่ได้เกิดทั้งปี จึงถูกละเลยความสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีหลักการ ‘การสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage)’ ซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งของข้อตกลงปารีส
หากจะอธิบายคร่าวๆ เขาบอกว่า ถ้า A.A. เป็นความพยายาม “ป้องกัน” ไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้น ส่วน Loss and Damage ก็เป็นเหมือนเสาหลักที่ “ชดเชยและชดใช้” การสูญเสียและความเสียหาย ที่เกิดขึ้นในสังคมจากภัยพิบัติเหล่านั้น เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและเยียวยาอย่างเป็นระบบ และ “ถ้าเราทำ A.A. ไว้ดีเนี่ย Loss and Damage ก็จะน้อยลง” ธาราระบุว่า ทั้งสองเป็นเรื่องที่ต้องควบคู่กันไป และ “ควรจะเป็นวาระทางการเมือง ในระดับประเทศและในระดับอาเซียนด้วย”
“Loss and Damage เหมือนกับการใช้หนี้ทางนิเวศของประเทศ” ธาราขยายความว่า หลักการนี้คือการให้ประเทศหรือกลุ่มต่างๆ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชดเชยและชดใช้ให้กับประเทศอื่นๆ เพราะ “คนที่ได้รับผลกระทบ เป็นคนที่ไม่ได้ก่อโลกร้อน ”
Loss and Damage ก็อาจนำมาประยุกต์ได้หลายรูปแบบ โดยเขายกตัวอย่างกรณี ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กในแปซิฟิก ที่ได้ร่วมกับฟิลิปปินส์ เพื่อก่อตั้ง ‘กองทุน’ ที่ระดมทุนจากผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับชดเชยและชดใช้ความเสียหาย จากผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ที่ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญ

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำคณะลงพื้นที่น้ำท่วม เทศบาลนครหาดใหญ่ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 cr.กระทรวงมหาดไทย PR
เมื่อกลับมามองนโยบายของประเทศไทย ธารามองว่า หลักการนี้ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร โดยใน พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงกฎหมายฉบับอื่นๆ ซึ่งว่าด้วยนโยบายสภาพอากาศนั้น แม้จะมีการระบุถึง Loss and Damage ไว้บนกระดาษ แต่ก็ไม่มีดำเนินการอย่างจริงจัง
“ไม่มีทิศทาง ไม่มีแผนปฏิบัติการ ไม่มีอะไรเลย นอกจากคำคำนั้น ที่ระบุอยู่บนกระดาษเท่านั้น”
เขาย้ำถึงความสำคัญของเสาหลัก Loss and Damage ว่าหากในอนาคต ประเทศเราต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดจาก Extreme Weather Event (เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว) เช่นนี้อีก “ถ้าเราไม่มีตรงนี้ คือเราไม่มีอะไรมารองรับ”
“คือเราจะต้องเสีย เราจะต้องสูญเสียเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” เขาระบุ