กระแสของพรรคการเมืองไทยกำลังร้อนแรง หลัง กกต. มีการรับรองการจดทะเบียนพรรคน้องใหม่หลายพรรค ให้พร้อมลงสู่สนามการเมือง ที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพรรค ‘อนาคตใหม่’ ที่เปิดตัวมากว่า 7 เดือนแล้ว ด้วยความหวังว่าจะได้สร้างประเทศไทยที่มีอนาคต
ซึ่งหลังจาก กกต.รับรองให้อนาคตใหม่ เป็นพรรคการเมือง วานนี้ (1 ต.ค.) ทางพรรคก็ได้จัดงานแถลงวิสัยทัศน์ของพรรค พูดถึงเส้นทางของพรรคตั้งแต่วันก่อตั้ง อนาคตการเดินหน้าของพรรค กระบวนการทำนโยบาย รวมไปวิสัยทัศน์พรรคที่อยู่ภายใต้คีย์เวิร์ดว่า ‘ไทย 2 เท่า’
ท่ามกลางสื่อมวลชนมากมาย พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้เป็นคนแรกที่ออกมากล่าวถึงการเดินทางของพรรคตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นว่า อนาคตใหม่ เริ่มต้นจากคนที่ไร้ประสบการณ์ทางการเมืองไม่กี่คน ที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งมากว่า 10 ปี
ก้าวแรกของพรรค เกิดขึ้นมาก่อนที่พรรคจะมีชื่อ เกิดเป็นพลังผ่าน hashtag ในทวิตเตอร์ #ช่วยธนาธรตั้งชื่อพรรค ไปจนถึงการเริ่มงานทางการเมือง เดินสาย จัดเวทีพูดกับประชาชน และเดินทางไปแล้วเกือบ 70 จังหวัดทั่วประเทศ จัดการประชุมพรรคที่มาสมาชิกก่อตั้งเกือบ 700 คน ทั้งยังเดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น สหรัฐฯ และแคนาดา บรรยายสถานการณ์การเมืองในไทย เข้าร่วมประชุม ขึ้นพูดสุททรพจน์บนเวทีโลกอีกด้วย
ซึ่งพรรณิการ์ มองว่าเส้นทางที่ผ่านมาของนักการเมือง และพรรคการเมืองใหม่นี้ ทำให้ชื่อพรรค ‘อนาคตใหม่’ และ ‘ธนาธร’ เป็นที่นิยม ได้รับการยอมรับ และติดอันดับคนที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
ด้านปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ได้ขึ้นมาแถลงการณ์ต่อ ถึงการเดินหน้าต่อทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ด้วยการพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทย ที่มีความขัดแย้ง และเปิดทางให้เผด็จการครองอำนาจยาวนาน จนประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม ซึ่งพรรคอนาคตใหม่เป็นพื้นที่ที่เกิดจากการหลอมรวมความต้องการ ข้อเรียกร้องของประชาชน จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเผชิญหน้ากับเผด็จการ
โดยพรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่า จะเป็นพรรคที่สมาชิกร่วมเป็นเจ้าของ สมาชิกมีส่วนในการกำหนดทิศทางของพรรค และจะเปิดเผยงบการเงินแก่สาธารณะทุกๆ 3 เดือน ทั้งเป็นพรรคการเมืองระยะยาวที่จะไม่ทำงานการเมืองเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้ง และจะเป็นพรรคการเมืองแบบใหม่ ที่ไม่จำนนต่อการเมืองแบบเดิมๆ และต้องการเปลี่ยนให้สังคมไทยดีขึ้น
สิ่งที่ชัดเจน ในการแถลงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ ที่ทำให้เราได้เห็นว่า อนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองแบบใหม่จริงๆ คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม โดยรณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรค และไกลก้อง ไวทยการ นายทะเบียนพรรค ได้ออกมาแนะนำเว็บไซต์ของพรรค ที่จะเป็นสำนักงาน และช่องทางการมีส่วนร่วมออนไลน์ ที่ทางพรรคอ้างว่า เป็นพรรคแรก ที่สามารถทำระบบสมัครสมาชิกออนไลน์ที่เริ่มตั้งแต่ต้นจนจบได้ในเว็บไซต์ และเป็นพรรคแรกที่จะเปิดให้ทำไพรมารีโหวตออนไลน์ ให้สมาชิกสามารถเข้ามาเลือกตัวแทนเขต ตัวแทนจังหวัดต่างๆ ผ่านทั้งทางเว็บไซต์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็ถือเป็นความแปลกใหม่ และลดความยุ่งยากทางการเมืองต่างๆ ไปได้ ด้วยการใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาช่วย
ส่วนของนโยบายของพรรค ในช่วงนี้ เราคาดหวังว่าจะได้ยิน นโยบายของพรรคที่เป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้ยินถึงแนวทาง และทิศทางของพรรคมานาน แต่ในครั้งนี้ ศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ดูแลงานนโยบายของพรรคกลับออกมาแถลงแค่แนวทางการทำนโยบายของพรรคเท่านั้น
โดยพรรคให้เหตุผลว่า ที่ยังไม่สามารถออกนโยบายมาได้ แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องเป็นเพราะว่า เป็นข้อจำกัดและคำสั่งคสช. แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ เป็นเจตนารมณ์ของพรรคที่การได้มาซึ่งนโยบายต้องผ่านกระบวนการรับฟังปัญหา รับฟังความคิดเห็น กลั่นกรอง และวิเคราะห์ ออกแบบอย่างรอบคอบ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาทางพรรคก็ได้รับฟังความเห็นจากประชาชนในการลงพื้นที่ วิจัย และวิเคราะห์นโยบายเหล่านั้นอยู่
แต่นโยบายทั้งหมดจะวางอยู่บนหลักการ 3 ป. คือ
1) ป.ปลดล็อค ปลดล็อคกฎหมาย ข้อบังคับที่เอื้อต่อการผูกขาด และข้อจำกัดต่างๆ
2) ป.ปรับโครงสร้างอำนาจ ที่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ให้เป็นคนส่วนใหญ่
3) ป.เปิดโอกาส เปิดกว้างรับฟัง
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่โครงสร้างเท่านั้น ยังไม่เห็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติมากนัก แต่ทางพรรคก็อ้างว่า จะเป็นนโยบายที่เปลี่ยนแปลงประเทศในระยะยาว และจะเริ่มนำเสนอนโยบายในแบบอนาคตใหม่ในเร็วๆ นี้
ส่วนสุดท้าย ของการแถลงวิสัยทัศน์ คือคำแถลงจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ที่ออกมาอธิบายถึงคำว่า ‘ไทย 2 เท่า’ ที่เป็นวิสัยทัศน์หลักของพรรค ว่า
- เท่าที่ 1 คือ ต้องการเห็น ‘คนไทยเท่าเทียมกัน’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิ โอกาส ไม่ว่าทุกคนจะเกิดมาในสังคมแบบไหน
- เท่าที่ 2 คือ ‘ประเทศไทยที่เท่าทันโลก’ ยกระดับความเป็นไทยให้เป็นสากล มีบริการของภาครัฐที่เท่าทันโลก และไม่ใช่ตามทันประเทศอื่น แต่ต้องกล้าเป็นผู้นำในเวทีโลกด้วย
ธนาธรย้ำว่า อนาคตไทย 2 เท่า ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่เราจะเท่าทันโลกไม่ได้ หากเราไม่เท่าเทียมกันในประเทศก่อน และนี่คือสิ่งที่อนาคตใหม่ฝัน และอยากให้ทุกคนมาร่วมฝันด้วยกันด้วย
ในช่วงของการตอบคำถามจากสื่อมวลชน มีคำถามหลากหลายทั้งความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง การเปิดเผยงบประมาณของพรรค และความกังวลต่อการถูกฟ้องร้องคุกคาม ซึ่งคำถามที่น่าสนใจ คือความเห็นของพรรคอนาคตใหม่ ต่อการเปิดตัวของพรรคพลังประชารัฐ และการที่นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศว่าหันมาสนใจการเมือง
โดยปิยบุตร ได้ตอบชัดเจนถึงพรรคพลังประชารัฐว่า สนับสนุนทุกพรรค และสนับสนุนให้คนมาตั้งพรรค แต่การปฏิบัติต่อพรรคการเมืองทุกพรรคต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียม และมาตรฐานเดียวกัน ทั้งพรรคที่สนับสนุน และไม่ได้สนับสนุนคสช. ส่วนการที่พรรคอื่นๆ มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี หรือดำรงตำแหน่งอื่นๆ เป็นเรื่องที่สังคม และสื่อมวลชนต้องตัดสินใจ
ส่วนการที่นายกฯ สนใจการเมืองนั้น ปิยบุตรกล่าวว่าเป็นเรื่องยินดี แต่ไม่สามารถยินดีได้เต็มปากเต็มคำ เพราะประยุทธ์ไม่ได้ลาออกจากราชการ แต่เลือกยึดอำนาจ แล้วค่อยลงแข่งขันทางการเมือง ถ้าอยากเล่นการเมืองจริงทำไมถึงใช้เวลายึดอำนาจเป็นเวลานานกว่า 4 ปี
“จึงบอกได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีนายกฯ คนใน คนนอก มีแต่นายกฯ ที่มาจากการสืบทอดอำนาจ คสช. และนายกฯ จากประชาชน”
ด้านธนาธรเองเสริมว่า การที่ประยุทธ์มาเล่นการเมืองก็จะทำให้ประชาชนได้ตัดสินใจชัดเจน ว่าจะเลือกเผด็จการ หรือเสรีภาพด้วย
ทั้งนี้ แกนนำพรรคอนาคตใหม่ยังย้ำว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกกลุ่มเป็นฐานเสียงของพรรคอนาคตใหม่ และไม่มีพื้นที่ไหนปฏิเสธแน่นอน เพราะถือเป็นพรรคการเมืองใหม่ ทั้งพรรคยังไม่ใช่พรรคของกลุ่มวัยรุ่น หรือของชนชั้นกลางเท่านั้น และไม่ได้หาเสียงผ่านแต่ทางโซเชียล เพราะพรรคเองก็เดินทางมาเกือบทั่วประเทศไทยแล้ว
สรุป จากงานแถลงวิสัยทัศน์ของพรรค เรายังคงเห็นพรรคอนาคตใหม่ กับรูปแบบการแถลงการณ์ที่มักเริ่มถึงการย้อนอดีต ความขัดแย้งทางการเมืองในสังคัมไทย ด้วยประโยคติดปากของทั้งปิยบุตร และธนาธรว่า ‘เราถูกทำให้เชื่อว่า….’ และ ‘พรรคอนาคตใหม่ต้องการพิสูจน์ให้เห็น ว่าความเชื่อเหล่านั้นไม่เป็นจริง’
รวมไปถึงความหนักแน่นของพรรคที่ชัดเจน 3 ข้อว่า ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ คสช.ทุกรูปแบบ, จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และจะล้มล้างผลพวงรัฐประหาร