เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะได้เห็นภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวนชุดนักเรียนไปนั่งอยู่ด้านหน้าของหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร มือถูกผูดมัด ปากถูกปิดด้วยสก็อตเทปสีดำ ผมที่มีความสั้นยาวไม่เท่ากัน มีกรรไกรวางอยู่ และมีป้ายที่เขียนว่า “นักเรียนคนนี้ประพฤติผิดกฎโรงเรียน ไว้ผมยาวเกินติ่งหู และไว้ผมหน้าม้า ทำลายเอกลักษณ์ของนักเรียนไทย เชิญลงโทษนักเรียนคนนี้”
แม้ว่ากระทรวงศึกษาจะมีการปรับเปลี่ยนกฎกระทรวงในเรื่องของทรงผมที่อนุญาตให้ไว้ยาวได้มากขึ้น แต่กฎนี้ก็ยังคงริดลอนสิทธิของนักเรียนไทย เพราะนักเรียนก็ไม่ได้มีอิสระบนร่างกายตัวเอง พวกเขาไม่ได้เป็นคนเลือกที่จะแต่งตัวหรือได้ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำ แม้จะเป็นร่างกายของพวกเขา แต่ต้องขออนุญาตผู้ใหญ่ที่อยู่ในสถานศึกษา ซึ่งยังคงมองไม่เห็นปัญหาการริดลอนสิทธิเหล่านี้
แคมเปญ #เลิกบังคับหรือจับตัด กับความรู้สึกของนักเรียนไทย
“การที่พลอยออกมาทำแคมเปญนี้ก็เพราะอยากจะสื่อสารกับสังคมว่านี่คือสิ่งที่นักเรียนไทยต้องเจอจริงๆ และอยากให้สังคมตระหนักว่านี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเด็ก มันโหดร้ายและรุนแรงมากเกินไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่เด็กคนนึงต้องเจอและไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย”
นี่คือคำตอบจาก ‘พลอย’ นักเรียนหญิงที่ออกมารณรงค์เรื่องทรงผมของนักเรียนไทยซึ่งแม้จะมีการออกมาเรียกร้อง ยื่นเรื่องถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไร้วี่แววของการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม พลอยจึงออกมาเรียกร้องอีกครั้ผ่านแคมเปญ #เลิกบังคับหรือจับตัด เพื่อให้คนเข้าใจความรู้สึกของนักเรียนไทยที่ถูกบังคับให้อยู่ในกรอบของผู้ใหญ่ เหมือนโซ่ตรวนที่ผูกมัดพวกเขาไม่ให้มีอิสระบนเนื้อตัวร่างกายของตัวเอง
“ตอนแรกที่พลอยไปนั่งหลังจากถูกจับมัดติดกับเก้าอี้ ยังไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็นเท่าไหร่ บ้างก็เดินผ่านแล้วถ่ายรูปเฉยๆ ต่อมาได้สักพักเริ่มมีคนมาถามไถ่และเป็นห่วงมากขึ้น คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น พลอยนั่งได้สักหนึ่งชั่วโมงก็ถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปสอบถามเบื้องต้น แต่ไม่มีอะไรค่ะ สุดท้ายเรื่องทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี จริงๆ ตอนแรกพลอยก็ลังเลที่จะทำ แต่ตอนที่ไปทำจริงๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นคิดว่าหลังจากนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พลอยขอยอมแลกผมบนหัวของตัวเองเพื่อให้สังคมมองเห็นสิ่งที่นักเรียนไทยต้องเจอ”
“มันคือเรื่องที่พลอยต่อสู้มาโดยตลอด ตั้งแต่ออกไปอภิปรายเมื่อคราวนู้น ไปลงชื่อฟ้องศาลปกครองเรื่องทรงผม ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการศึกษา ไปเป็นกระบอกเสียงผ่านช่องทางต่างๆ แต่พลอยรู้สึกว่าทั้งหมดที่พลอยทำมันก็ยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เท่าที่หวังนัก พลอยจึงออกมาทำแคมเปญนี้เพื่ออย่างน้อยสังคมจะได้รับรู้และมองเห็นเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้น นักเรียนที่ถูกละเมิดสิทธิอยู่จะได้ตระหนักถึงสิทธิบนหัวของตัวเองมากขึ้นและไม่ยอมจำนนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปค่ะ”
พลอยเล่าถึงความรู้สึกของเธอหลังจากตัดสินใจออกมาเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์นี้ ความรู้สึกอัดอั้นของเธอกลายมาเป็นการแสดงออกที่ทรงพลัง เรียกร้องให้ผู้คนหันกลับมาสนใจเสียงของเด็กๆ ที่มักไม่มีคนได้ยิน และนั่นก็นำมาซึ่งกระแสตอบกลังที่รุนแรงจากคอมเมนต์บนโลกโซเชียลมีเดีย
อำนาจนิยมในโรงเรียน : บทเรียนที่ผู้ใหญ่หลงลืม แต่เด็กพยายามส่งเสียง
ในขณะที่หลายคนเห็นด้วยกับสิ่งที่พลอยออกมาเรียกร้อง แต่ก็มีอีกหลายความเห็นที่ต่อต้านการกระทำของเธอ ยิ่งไปกว่านั้น คอมเมนต์เหล่านี้ยังใช้คำพูดรุนแรง กล่าวหาว่าร้าย และจงใจโจมตีเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องสิทธิเพื่อตัวเอง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้พลอยหมดกำลังใจง่ายๆ
“พลอยจะเดินหน้าสู้ต่อจนกว่าจะไม่มีการบังคับให้ตัดผม ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปีพลอยก็จะสู้ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ” เธอยืนยันกับเรา
อำนาจนิยมในโรงเรียนกเป็นเรื่องที่หลายคนออกมาพูด และพยายามชี้ให้เห็นปัญหามากมาย ตั้งแต่เรื่องทรงผม เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงการกราบไหว้ การเรียกร้องความเคารพเชื่อฟังอย่างไม่มีเหตุผล บทลงโทษ หรือไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน
โรงเรียนที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยกลับกลายเป็นสถานที่ที่เป็นอันตรายกับนักเรียนเสียเอง และ ‘อำนาจนิยม’ นี้เองคือสิ่งที่เป็นปัญหารากลึกในรั้วโรงเรียน กดทับนักเรียน และในวันนี้พวกเขาต่างพยายามออกมารื้อถอนอำนาจนิยมเหล่านี้กัน และนี่คือปัญหาที่นักเรียนในระบบการศึกษาไทยต้องเผชิญ เป้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กอยู่เสมอ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาออกมาเรียกร้องเพื่อให้คนในสังคม ให้ผู้ใหญ่ได้ยินเสียงของเด็ก รวมถึงพยายามให้พวกเขาตระหนักว่าตอนนี้นักเรียนต้องเจอกับปัญหาอะไรอยู่ และมันเป็นปัญหายังไง
“อำนาจนิยมในโรงเรียนมันคือสิ่งที่กดทับอนาคตของชาติเอาไว้อยู่และพวกเราอยู่กับมันมานานมากจนมันถูกซึมซับเข้าไปในตัวตนของเราจริงๆ ทุกคนคงจะเห็นได้ว่ายังมีคนบางส่วนที่เห็นด้วยกับการมีอยู่ของกฎเกี่ยวกับทรงผมนักเรียน เพราะนี่คือผลพวงของระบอบอำนาจนิยมในโรงเรียนที่ปิดกั้นเสรีทางความคิด ไม่ให้เราคิดต่างและตั้งคำถาม คนคิดต่างจะถูกโจมตีจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ตราบใดที่ยังไม่มีคนออกมาต่อต้านหรือลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง อำนาจนิยมในโรงเรียนก็จะยังคงอยู่และถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ ยันรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเรา”
“พลอยอยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจ และปล่อยวางจากอำนาจและเรื่องบนหัวเด็กได้แล้วค่ะ ผู้ใหญ่ตั้งความหวังเอาไว้ว่าอนาคตของชาติจะผลักดันและนำพาชาติไปได้ไกลกว่านี้ แต่สิ่งที่อนาคตของชาติกำลังเผชิญก็คือการถูกปิดกั้น กดทับ ถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจจากอำนาจนิยมในโรงเรียน ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั่งทรงผมที่อยู่บนร่างกายของตัวเอง”
แม้การต่อสู้กับอำนาจนิยมในโรงเรียนจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังกายและพลังใจอย่างมาก เพราะมันคือการขุดปัญหาที่อยู่ใต้ระบบโรงเรียนไทยมานานแสนนาน แต่ก็ใช่ว่าการพยายามนี้จะไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะตัวนักเรียนผู้ถูกกดขี่นั้นได้พยายามออกมาแสดงจุดยืน ส่งเสียง และเรียกร้องสิทธิเพื่อตัวเอง
“พลอยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น เมื่อผู้คนในสังคมเข้าใจและรับรู้ถึงสิ่งที่พลอยออกมาแสดง เด็กนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ก็ไม่ไหลไปตามอำนาจนิยมแบบเดิม กลับออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองและไม่ยอมจำนนต่อการที่ตัวเองถูกละเมิดสิทธิบนหัว ถึงตอนนี้จะยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก แต่พลอยเชื่อว่าในอนาคตเรื่องทรงผมจะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลของนักเรียนมากกว่าคุณครูแน่นอนค่ะ”