8 กันยายน 2025 การประท้วงครั้งใหญ่ปะทุขึ้นบนท้องถนนกรุงกาฐมาณฑุ และหลายเมืองในเนปาล เพียงไม่กี่วันหลังจากรัฐบาลออกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม
ภายในเวลาเพียงสองวันของเหตุการณ์ความไม่สงบ อาคารรัฐสภา โรงแรมหรู และสถานที่สำคัญอื่นๆ ถูกเผาทำลายจนไม่เหลือภาพเดิม ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดเหตุปะทะดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงกับกองกำลังรัฐบาล โดยล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขเนปาลรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 72 ราย ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2,113 ราย จนในวันต่อมา เค.พี.ชาร์มา โอลี (KP Sharma Oli) ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่มาของการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงคำสั่งแบนโซเชียลเท่านั้น แต่เป็นความโกรธแค้นต่อความไม่ยุติธรรมของประเทศในหลายมิติ ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม วิกฤตว่างงานที่บั่นทอนความฝันของคนรุ่นใหม่ จนถึงอภิสิทธิ์ชนที่ใช้ชีวิตหรูหรา บนความคับแค้นของคนจำนวนมาก
ความสูญเสียและความรุนแรงของเหตุการณ์ครั้งนี้เอง ที่ชวนให้หลายคนมองย้อนกลับมาที่สถานการณ์ใกล้ตัว และตั้งคำถามว่า แล้วเราสามารถถอดบทเรียนอะไรบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสียหายเช่นเดียวกัน

อาคารรัฐสภา ณ กรุงกาฐมาณฑุ ถูกวางเพลิงระหว่างการประท้วง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025
ความเหลื่อมล้ำบ่มเพาะการต่อต้าน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นชนวนสำนวนของความโกรธแค้นของผู้ประท้วง ที่มีต่อรัฐบาลเนปาล
ในหนึ่งปีชาวเนปาลมีรายได้ต่อหัวต่อปีเฉลี่ย 1,400 ดอลลาร์ (ราว 45,000 บาท) ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชียใต้ ตามรายงานจากสำนักข่าว Al Jazeera ไม่เพียงเท่านั้นอัตราความยากจนของประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มากกว่า 20% ในช่วงปีที่ผ่านมา
ด้านวิกฤตว่างงานก็ดูจะรุนแรงไม่แพ้กัน ตามข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ในปี 2024 ชี้ว่าเนปาลมีสัดส่วนเยาวชนที่ว่างงานและไม่ได้เรียนต่ออยู่ที่ 32.6%
เพราะวิกฤตแห่งความสิ้นหวังเหล่านี้เอง ที่ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมากต้องออกนอกประเทศ เพื่อหาโอกาสการทำงานในต่างแดน โดยในปีงบประมาณ 2023-24 มีชาวเนปาลกว่า 741,000 คน ต้องอพยพออกจากประเทศเพื่อหางานทำ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Kathmandu Post

สถานการณ์การประท้วงในกรุงกาฐมาณฑุ วันที่ 8 กันยายน 2025
สิ่งที่ตามมาคือ ระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาเงินโอน จากชาวเนปาลในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่ง World Bank ชี้ว่า 33.1% ของ GDP ประเทศนี้มาจากเงินโอนส่วนบุคคล นับว่าเป็นตัวเลขที่เกือบจะสูงที่สุดในโลก รองจากประเทศตองกา (50%) ทาจิกิสถาน (47.9%) และเลบานอน (33.3%)
“เป็นความจริงอันโหดร้ายที่คนยากจนส่วนใหญ่อยู่นอกประเทศเนปาลและส่งเงินไปเนปาล” ดิเปช คาร์กี (Dipesh Karki) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุ (Kathmandu University) กล่าวกับ Al Jazeera
อาจารย์คนนี้ยังชี้ว่า การถือครองที่ดินในเนปาลยังคงไม่เท่าเทียมกัน แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามปฏิรูปที่ดินก็ตาม โดย “ครัวเรือน 10% บนสุดเป็นเจ้าของที่ดินมากกว่า 40% ขณะที่คนยากจนในชนบทจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกิน หรืออาจเรียกได้ว่าเกือบไม่มีที่ดินทำกิน”
“สิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นความเหลื่อมล้ำที่แพร่หลาย ซึ่งสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติมาตั้งแต่อดีต” คาร์กีระบุ

ผู้ประท้วงถือธงเนปาล ณ กรุงกาฐมาณฑุ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025
ทีนี้เรามาย้อนดูเศรษฐกิจประเทศไทยกัน
หากมองตัวเลขความไม่เท่าเทียมในประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) ระบุว่าคน 3.4% ของประชากร อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนแห่งชาติในปี 2023 ขณะที่ World Bank รายงานว่าในปี 2019 รายได้ต่อหัวของคนไทยอยู่ที่ 7,080 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 225,000 บาท)
ส่วนอัตราการว่างงานของประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ว่าในปี 2022 อัตราดังกล่าวอยู่ที่ 21%
แม้เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศแล้ว ประเทศไทยอาจไม่ได้เข้าขั้นน่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ แต่ก็คงพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่า ประเทศเราไม่มีปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ
ในปี 2025 รายงานความยากจนและความเสมอภาคของ World Bank ระบุว่า ความมั่งคั่งยังคงกระจุกตัวอยู่ในระดับสูง โดยความมั่งคั่งถึง 75% ของประเทศไทย กระจุกตัวในประชากรเพียง 10%
“ประเทศไทยติดหนึ่งในอันดับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก” รายงานจาก World Bank ชี้
ปัญหาคอร์รัปชันที่สะสมมานาน
อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือ ‘วิกฤตคอร์รัปชัน’ ที่จุดประกายความโกรธแค้นในเนปาล
“ความโกรธและความคับข้องใจ ต่อการปกครองที่ล้มเหลวและการทุจริต ได้ก่อตัวขึ้นมาเป็นเวลานาน และนำไปสู่เหตุการณ์ที่บีบบังคับให้ผู้นำ ซึ่งครอบงำการเมืองเนปาลมาตั้งแต่ปี 1990 ต้องก้าวลงจากตำแหน่ง” มีนักษี คังคูลี (Meenakshi Ganguly) รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียจากฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) กล่าว
หากพิจารณาจากรายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2024 โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ซึ่งให้คะแนนตามปัญหาคอร์รัปชันในแต่ละประเทศ ตั้งแต่ 0 (ทุจริตมาก) ถึง 100 (โปร่งใส)
ปรากฏว่าทั้งเนปาลและไทย ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกัน ที่อันดับ 107 จาก 180 ประเทศที่สำรวจทั่วโลก โดยมีคะแนน CPI ที่ 34 คะแนนเท่ากัน
ตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปี 2024 เนปาลมีระดับการทุจริตเฉลี่ยอยู่ที่อันดับ 123 โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่อันดับ 154 ในปี 2011 และต่ำสุดที่อันดับ 90 ในปี 2004
ส่วนประเทศไทยนั้น คะแนน CPI ประจำปี 2024 ถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี
ข้อมูลข้างต้นคงจะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์การทุจริตของเนปาลและไทยมากขึ้น

บรรยากาศการประท้วง ณ กรุงกาฐมาณฑุ วันที่ 8 กันยายน 2025
รัฐบาลเข้าใจประชาชนแค่ไหน?
“ผู้นำให้สัญญาไว้อย่างหนึ่งในช่วงการเลือกตั้ง แต่ไม่เคยทำได้จริง พวกเขาเป็นต้นเหตุของปัญหามากมาย” นักศึกษาหญิงวัย 19 ปี กล่าวกับบีบีซี
หากจะพูดถึงการประท้วงครั้งนี้ คงไม่พูดถึงความเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ไม่ได้ เพราะ Gen Z ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญนี้ ซึ่งปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ล้วนบ่มเพาะการต่อต้านในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่ฝากฝังความฝันของตัวเองไว้กับอนาคตของประเทศ
จึงน่าสนใจว่า ต่อจากนี้รัฐบาลประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย จะถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศ ก็ต่างมีปัญหาที่ยืดเยื้อพัวพันแตกต่างกันไป
แต่สำหรับเนปาลนั้น ความเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว และอนาคตของประเทศนี้อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป