สิ่งแรกที่ผุดในใจหลังสำรวจงานระดมทุน คือ ท่าที พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ บอกชัดว่าเขาไม่ใช่แค่ อดีต ผบ.ทบ. แต่ขยับบทเป็น ‘นักการเมือง’ อย่างเต็มตัว
การเลือกตั้งนับถอยหลังเข้ามาเรื่อยๆ คงเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐจัดงานระดมทุน ‘พลังประชารัฐ ใจบันดาลแรง’ ขึ้นเมื่อ 30 มกราคม 2565 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โรงแรมหรูโอ่อ่าใจกลางกรุง
เมื่อก้าวเท้าออกจากลิฟต์ชั้น 22 ภาพที่กระทบสายตาเป็นอย่างแรก คือภาพโปรโมทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ — รองนายกฯ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค — ที่วางเคียงข้างกับคำคมปลุกใจหลากหลายรูปแบบ เช่น “ผมจะนำพาพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และ “ใจบันดาลแรง” เป็นต้น
จะว่าไป คำว่า “ใจบันดาลแรง” นี่ก็ปรากฎในแทบทุกหนแห่งของงานระดมทุนนี้ (ถึงกับเป็นชื่องานเลยทีเดียว) ซึ่งที่มาคืออะไร จะเขียนคำอธิบายจากปากท่านหัวหน้าพรรคให้ทราบในส่วนถัดไป
กลับมาที่บรรยากาศ อย่างที่เล่าไปว่า เพียงด้านหน้าฮอล ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นภาพของ พล.อ.ประวิตร อ้อ อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นไม่แพ้กัน คือโลโก้ของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมสโลแกนหลักอย่าง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นท่ี”
กรรมการบริหารพรรคและผู้เข้าร่วมงานคนสำคัญที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาก็มีไม่น้อย เช่น วิรัช รัตนเศรษฐ, สันติ พร้อมพัฒน์, ไพบูลย์ นิติตะวัน, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, นฤมล ภิญโญสินวัฒน์, ตรีนุช เทียนทอง, สกลธี ภัททิยกุล, มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์, อุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, สมรักษ์ คำสิงห์, และษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่อ้างว่ามาตามคำชักชวนเท่านั้น ไม่ได้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.
เมื่อเดินเข้ามาในฮอล เราได้เจอกับโต๊ะจีนวางเรียงรายติดกัน 170 โต๊ะ ซึ่งนี่แหละคือแหล่งที่มาของเงินระดมทุน! เพราะแต่ละโต๊ะเปิดให้เอกชน/ผู้สนใจจ่ายเงิน 3 ล้านบาทเพื่อซื้อโต๊ะร่วมงาน เพราะฉะนั้น 170 โต๊ะ = พรรคพลังประชารัฐอาจกวาดเงินระดุมทุนสูงสุด 510 ล้านบาทในครั้งนี้
ดูคร่าวๆ โต๊ะนึงนั่งได้ประมาณ 10 คน ฉะนั้น อาหารค่ำวันนั้นของใครบางคนมีมูลค่าถึง 300,000 บาทต่อมื้อเลยทีเดียว ทั้งนี้ พรรคยังไม่เปิดเผยรายชื่อผู้สนับสนุน และจะให้ กกต. เป็นผู้เปิดเผยภายใน 30 วัน
‘โอ้โห อาหารหลักแสนหลักล้านนี้มันมีเมนูอะไรบ้าง’ คือสิ่งที่เราสงสัยตั้งแต่รู้ตัวว่าจะได้ไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชน บนโต๊ะจีนมีรายการอาหารระบุไว้ ดังนี้
- ยำส้มโอ “ทับทิมสยาม” กับไก่ฉีกออร์แกนิค, กระทงทองไก่, ข้าวเกรียบปากหม้อ “นครชัยศรี”
- ต้มยำกุ้งลายเสือ “นครศรีธรรมราช”
- ปลากระพง “บางปะกง” อบสมุนไพร เสิร์ฟกับมันฝรั่งบดและผักบ๊อกฉ่อยออร์แกนิค
- มูสมะม่วง “แปดริ้ว” กับครีมมะพร้าวสด “ทับสะแก” เสิร์ฟสไตล์ทาร์ตกรอบ ราดซอสเสาวรส “โครงการหลวง” เสิร์ฟคู่กับ จ่ามงกุฎสไตล์ชาววังดั้งเดิม
เครื่องหมายอัญประกาศในรายการเมนู เน้นย้ำถึงที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหาร ความน่าสนใจคือ วัตถุดิบส่วนใหญ่ คือวัตถุดิบขึ้นชื่อและมีที่มาจากภาคใต้และภาคกลางเท่านั้น ไร้เงาเมนูอาหารที่บอกชัดเจนว่าเอาวัตถุดิบมาจากภูมิภาคอื่น มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่สรุปชัดเจนไม่ได้ว่ามาจากภูมิภาคไหน เช่น เสาวรสโครงการหลวง เป็นต้น
ส่วนทำไมต้องวัตถุดิบจากภาคใต้และภาคกลางเท่านั้น มีนัยสำคัญอะไรหรือไม่ จุดนี้เราเองก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกล่าวต้อนรับแขกและพูดถึงวัตถุประสงค์ของงานนี้ ก็ถึงทีของ พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นพระเอกกล่าวเปิดงาน แต่จะขึ้นมาเปิดเฉยๆ คงกลัวจะเฉาเกิน พรรคพลังประชารัฐจึงเปิด VTR ประมวลภาพของ พล.อ.ประวิตร ในหลายอิริยาบท ทั้งตอนลงพื้นที่ ตอนอยู่กับประชาชน และตอนอยู่กับเยาวชน
เมื่อ VTR จบ พล.อ.ประวิตร จึงกล่าวเปิดงาน ก่อนจะเล่าว่า เป้าหมายของพรรคคือการสนับสนุนประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยากรักษาผลประโยชน์ของชาติ อยากให้คนไทยอยู่ดีกินดี อยากสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน และหมุดหมายอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในคีย์เวิร์ดสำคัญที่จับใจความได้ว่า พล.อ.ประวิตรเน้นย้ำ คือการ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อันเป็นคีย์เวิร์ดในสโลแกนของพรรคพลังประชารัฐด้วย
จากนั้นเข้าสู่ช่วงตอบคำถามสุดพิเศษ พิเศษสุดๆ โดย พล.อ.ประวิตร ที่ทางพรรคเคลมว่าเป็นการเปิดใจ พล.อ.ประวิตร เล่าเรื่องราวส่วนตัวแบบที่ไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อน ซึ่ง The MATTER สรุปข้อความจาก พล.อ.ประวิตร ไว้ดังนี้
- ที่บอกว่า “ใจบันดาลแรง” เพราะสังขารร่วงโรย ต้องอาศัยจิตใจ ต่อสู้โดยใช้ ‘ใจ’ บันดาล ‘แรง’ ที่ร่วงโรยตามความแก่ให้มีแรงทำงานต่อไป เป็นอาการใจมาก่อนแรงมาที่หลัง (ตอนที่พูดประโยคนี้เป็นครั้งแรก ก็ใจเฟื่องฟูเลย)
- “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้” นี่ไม่มีอีกแล้ว และที่ตอบไม่รู้ลึกๆ อาจจะรู้ก็ได้ เพียงแต่รอให้ผู้รู้มากกว่ามาสั่งสอนเพิ่ม อ้ะๆ แต่ตอนนี้ “รู้แล้ว พร้อมแล้ว” แล้วนะ
- ทำงานรับใช้กองทัพมานาน ก่อนจะมาเป็นนักการเมือง ซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะเล่นการเมืองนะ ที่เล่นเพราะตกกระไดพลอยโจนต่างหาก
- งานอดิเรกคือชอบทำกับข้าว มั่นใจมากว่าทำผัดซีอิ๊วกับราดหน้าอร่อย ที่ผ่านมาทำอาหาร “เลี้ยงดู 3 ป. มาโดยตลอด”
- มีสายสัมพันธ์แน้นแฟ้นกับ 3 ป. (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) อยู่ด้วยกันมานาน รวมใจทำงานเพื่อประเทศชาติและกองทัพมาตลอด เคยอยู่บ้านเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน สนิทฉันพี่น้อง ไม่มีอะไรแยกจากกันได้ และแม้จะเดินคนละเส้นทางการเมือง ก็แยกกันเฉพาะด้านการเมืองเท่านั้น
- เคล็ดลับเอาใจลูกน้อง คือ ความจริงใจ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์สุจริต
- สิ่งที่อยากทำ คือ อยากแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกร ชาวนาชาวไร่ คนหาเช้ากินค่ำ
- มีแม่เป็นฮีโร่ เพราะแม่เลี้ยงลูกทุกคนจนได้ดิบได้ดี
- พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 แล้ว! “ได้ไม่ได้อยู่ที่คนเลือก ถ้าประชาชนเลือกก็พร้อม ถ้าไม่เลือกก็กลับบ้าน”
ระหว่างการสัมภาษณ์ ผู้ร่วมงานล้วนมีท่าทียิ้มแย้ม ขบขัน มีเสียงฮือฮา และปรบมือให้กำลังใจหัวหน้าพรรคอยู่เป็นระยะๆ
เมื่อจบทอล์กโชว์โดย พล.อ.ประวิตร ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของงาน อันเป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ ‘Thailand in a spinning world ประเทศไทยในวันที่โลกหมุนเร็ว’ ที่มีมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สมาชิกพรรค และ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้ให้ข้อมูล ซึ่งเสวนานี้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ต้องรับมือกับการแข่งขันบนเวทีโลก
จากงานสำรวจงานระดมทุน เราสังเกตว่า พล.อ.ประวิตรมีมาดของ ‘นักการเมือง’ เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และมีท่าทีคล้ายกับอยากจะ ‘รีแบรนด์’ ตัวเองรับเลือกตั้งครั้งหน้า แถมระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษยังมีการแซวตัวเองเป็นระยะๆ ด้วย เช่น การพูดถึงประเด็นไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ เป็นต้น ซึ่งบทสัมภาษณ์พิเศษในงานระดมทุนนี้ อาจซ่อนด้วยข้อความอะไรบางอย่างที่หัวหน้าพรรคต้องการจะสื่อก็เป็นได้