เพียงไม่กี่วัน ข่าวบุกทลายผับจีน สถานบันเทิงที่มีการมั่วสุมยาเสพติดกลาง กทม. ดันถูกพลิกเป็นข่าวพรรคพลังประชารัฐเสี่ยงโดนยุบไปซะงั้น
ทำไมจากข่าวอาชญากรรมกลายเป็นข่าวการเมือง เกิดอะไรขึ้นกับกรณีนี้ ผับยาเสพติดถูกโยงเข้ากับการบริจาคเงินของนักธุรกิจจีนที่ดันไปพัวพันกับพรรคพลังประชารัฐอีกทอดหนึ่งได้อย่างไร? The MATTER ได้สรุปรวบรวมไว้แล้ว ดังนี้
1. เรื่องราวเปิดฉากขึ้นหลังตำรวจนครบาล (บช.น.) เข้าจับกุมร้าน ‘จินหลิง’ ผับลับชาวจีนย่านยานนาวา กรุงเทพฯ เมื่อกลางดึกของวันที่ 26 ตุลาคม โดยอ้างว่าได้รับแจ้งถึงการเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการมั่วสุมยาเสพติด และลักลอบเล่นการพนัน
จินหลิง ไม่ใช่ผับทั่วไปอย่างที่เราคุ้นชิน แต่เป็นสถานบันเทิงที่เปิดมาเพื่อให้บริการชาวจีนโดยเฉพาะ ในวันจับกุมมีผู้ใช้บริการทั้งหมด 266 คน พบว่าส่วนใหญ่คือคนจีน นอกนั้นคือคนชาติอื่นแบบประปราย
2. และก็เป็นไปตามที่รับแจ้ง ทาง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบช.น. ระบุหลังจับบุกจับว่า สถานบริการแห่งนี้ไม่มีใบอนุญาตเปิดบริการอย่างถูกต้อง ขณะที่ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. แถลงรายละเอียดผลการจับกุมว่า จากจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด 266 คน ตรวจพบปัสสาวะสีม่วงจำนวน 104 คน โดยเป็นชาวจีน 99 คน
ที่น่าตกใจกว่านั้น คือ สถานบริการนี้มียาเสพติดซุกไว้จำนวนมาก ได้แก่ เฮโรอีน 323 ซอง ยาอี 258 ซอง ยาอีบรรจุในซองกาแฟ 71 หลอด ยาเค 16 ซอง ยาเสพติดแฮปปี้วอเตอร์ ซึ่งยาเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไปตามผับและห้องคาราโอเกะ
3. เมื่อข่าวฉาวด้านธุรกิจสีเทาวนเวียนกลับมาอีกครั้ง คงไม่น่าแปลกใจที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส. และเจ้าพ่อสถานบันเทิง ออกมาเคลื่อนไหว เขาแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า ธุรกิจนี้คือ ‘ผับศูนย์เหรียญ’ ที่เจ้าของเป็นคนจีน สินค้าทุกอย่างมาจากจีน
“ทั้งน้ำดื่ม เหล้า บุหรี่ ยังอิมพอร์ตมาจากเมืองจีน แถมยังเอาเด็กกัมพูชาพูดจีนได้มาเสิร์ฟ” ชูวิทย์ระบุ พร้อมกับโพสต์วีดีโอกลุ่มคนเล่นการพนัน อ้างว่าเครือข่ายถ่ายจากในผับจินหลิง
4. ฟังดูคล้ายจะเป็นการทลายธุรกิจสีเทาทั่วไป แต่อย่างที่บอกไปว่าจินหลิงไม่ใช่ผับธรรมดา เพราะจากนั้นไม่กี่วันก็มีการกระแสว่า ‘ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์’ นักธุรกิจชาวจีน อาจเชื่อมโยงกับผับจินหลิง …และพรรคพลังประชารัฐ
5. สำหรับใครที่สงสัยว่าใครคือชัยณัฐร์ เขามีชื่อจีนว่า ‘หาวเจ๋อ ตู้’ หรือ ‘ตู้ห่าว’ เป็นนายทุนจีนที่มีกิจการทัวร์จีน กิจการจิวเวอรี ธุรกิจรังนก อสังหาริมทรัพย์ และกิจการด้านการท่องเที่ยวในหลายจังหวัดทั่วไทย
นายทุนรายนี้ถูกเรียกว่าเป็น 1 ใน 5 เสือของกลุ่มนักธุรกิจท่องเที่ยวจีนในไทย เขาได้รับสัญชาติไทยหลังสมรสกับตำรวจหญิงที่มีความสัมพันธ์กับอดีตตำรวจยศชั้นนายพล
6. แม้ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันอย่างเป็นทางการจากตำรวจว่าชัยณัฐร์เชื่อมโยงกับผับจีน แต่กระแสข่าวว่าชัยณัฐร์เชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะเคยบริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรคในปี 2564 ได้รับการยืนยันจาก สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ แล้วว่าเป็นความจริง
แต่สมศักดิ์ กล่าวเสียงแข็งว่า “ได้สอบถามกับสมาชิกพรรคแล้ว ไม่มีผู้ใดที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับนายชัยณัฐร์ เขาอาจจะมีความศรัทธาในแนวของพรรคพลังประชารัฐ ก็เลยบริจาค”
7. เมื่อยืนยันว่าได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจจีน เรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ทันที มีการตั้งข้อสังเกตว่า การบริจาคนี้คือการติดสินบนทางการเมืองหรือไม่ เพราะหลังบริจาคเงินให้พรรค พบว่าชัยณัฐร์ได้สัญชาติไทย และได้เป็นเจ้าของกิจการในไทย
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามด้วยว่า ขณะบริจาคเงิน ชัยณัฐร์สละสัญชาติจีนแล้วหรือยัง เพราะหากยัง หรือถือ 2 สัญชาติแล้วมาบริจาคเงินให้พรรคการเมือง ก็จะเสี่ยงผิดกฎหมายพรรคการเมือง และอาจถูกยุบพรรคได้
8. ซึ่งในประเด็นนี้ สมศักดิ์ก็อธิบายว่า เงินบริจาคคือเงินที่ได้มาถูกต้องตามกฎหมาย ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์และข้อแลกเปลี่ยนทางการเมือง
ผู้ใหญ่ของพรรคยืนยันว่า “พรรคไม่รู้จักนายชัยณัฐร์เป็นการส่วนตัวแน่นอน ถ้ามีก็ถูกยุบพรรค”
9. หากสรุปคร่าวๆ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 ระบุไว้ว่า ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจาก ‘บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย’
และยังห้ามไม่ให้รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ‘โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย’
หากฝ่าฝืน กฎหมายก็ให้อำนาจ กกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากใครหลายคนมองว่าสถานการณ์นี้ทำให้พรรคพลังประชารัฐตกอยู่ในความเสี่ยง
10. ซึ่ง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ก็แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การที่คนจีนได้สัญชาติไทย บริจาคเงินให้พรรค 3 ล้านบาท เสี่ยงผิดกฎหมายพรรคการเมือง โดยเฉพาะหากเงินนั้นถอนจากนิติบุคคลที่เป็นนอมินีของจีน ไม่ใช่เงินส่วนตัว อาจทำให้พรรคถูกยุบก็ได้
11. ขณะที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (และนักร้องคนดัง) ก็ออกมาร่วมตรวจสอบ เขายื่นหนังสือถึง กกต. ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการรับเงินบริจาคจากนักธุรกิจจีน คือการกระทำที่เข้าข่ายขัดต่อกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ และขอให้ กกต. ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค หากฝ่าฝืน
ศรีสุวรรณตั้งคำถามด้วยว่า ชัยณัฐร์ได้สละสัญชาติจีนด้วยหรือไม่ หรือมีการถือ 2 สัญชาติ เพราะนั่นจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายพรรคการเมืองโดยตรง
12. พรรคฝ่ายค้านเองก็ไม่รอช้า ร่วมวงตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐด้วยเช่นกัน มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้ กกต. ตรวจสอบเรื่อง 2 สัญชาติในการบริจาคเงินให้พรรคโดยละเอียด
13. ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า ชัยณัฐร์เชื่อมโยงกับผับจีนจริงหรือไม่ และยังไม่มีข้อมูลด้วยว่าขณะเขาบริจาคเงินให้พรรคการเมือง เขาถือสัญชาติอะไร หรือบริจาคด้วยทุนจากไหน
อย่างไรก็ดี ต้องจับตากันต่อไปว่า กรณีนี้จะเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่การยุบพรรครัฐบาลอย่างพลังประชารัฐ หรือไม่?
อ้างอิงจาก