วันเสาร์ที่ผ่านมา (27 กันยายน 2568) iLaw, ThumbRights, และมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ร่วมกันจัดกิจกรรม ‘Run2Free | วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ โดยเชิญประชาชนใส่เสื้อสีดำกับรองเท้าผ้าใบออกมาวิ่งจาก ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถึง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรมที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือ ปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองจำนวนมาก และมีผู้ถูกคุมขังทางการเมืองในเรือนจำอย่างน้อย 57 คน
โดยผู้ร่วมกิจกรรมต่างมีป้ายรณรงค์ ‘ปล่อยนักโทษการเมือง’ บ้างติดป้ายแสดงชื่อและรายละเอียดของผู้ต้องขังทางการเมืองอีกหลายคนที่เสื้อของตัวเอง นอกจากนั้น ระหว่างวิ่งยังมีการตะโกนว่า “ปล่อยเพื่อนเรา” และ “วิ่งเพื่อเสรีภาพ” เป็นระยะ
The MATTER ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ร่วมกิจกรรม ซึ่งมีทั้งบุคคลใกล้ชิดกับผู้ถูกคุมขังคดีทางการเมือง ผู้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดแต่ออกมาร่วมกิจกรรม และผู้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ว่าทำไมพวกเขาจึงออกมาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้

ภาพ สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของ ‘เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์’
“เป็นกิจกรรมที่เราได้ร่วมออกมาแสดงความคิดเห็นของเรา ซึ่งเป็นเสรีภาพในการแสดงออกและทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออก ให้เห็นพลังว่าประชาชนกำลังรู้สึกอย่างไร”
สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ อายุ 55 ปี มารดาของ ‘เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์’ ผู้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 เธออยากร่วมแสดง ‘พลังประชาชน’ จึงออกมาร่วมกิจกรรมเพื่อสะท้อนให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าประชาชนกำลังรู้สึกอะไรอยู่ คือ “ตอนนี้มีนักโทษการเมืองที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้รับการประกันตัวเยอะมาก และเข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ถูกต้อง”
โดยสุรีย์รัตน์มองว่า การร่วมกิจกรรมยังเป็นการให้กำลังใจผู้ถูกคุมขังทางการเมือง และยืนหยัดว่า ยังมีคนข้างนอกยังไม่หายไปไหนและยังเคลื่อนไหวเพื่อพวกเขาอยู่
นอกจากการให้กำลังใจผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมแล้ว สุรีย์รัตน์ยังร่วมเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาลเมื่อมีโอกาส เพราะนอกจากได้ฟังการสืบพยานหรือได้เห็นกระบวนการทำงานของศาลแล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้เจอผู้ถูกคุมขังทางการเมืองตัวต่อตัวหลายคน เนื่องจากจะมีการเบิกตัวผู้ถูกคุมขังเหล่านี้มาร่วมฟังการพิจารณาคดี โดยทุกคนสามารถติดตามตารางการพิจารณาคดีได้จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
สุรีย์รัตน์กล่าวว่า ตอนนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าประเทศเรากำลังไม่มีอนาคต เราไม่อยากให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าไม่มีอนาคต จบมาก็กังวลว่าจะมีงานทำไหม สังคมก็อาจดูไม่น่าอยู่
ดังนั้น เธอจึงอยากทุกคนลองลดอัตตาหรือความเห็นแต่ตัวเองลง แล้วมองภาพอนาคตให้กว้างขึ้น
“เราต่างมีชีวิตที่สั้น เวลาที่เหลืออยู่ก็ควรทำประโยชน์ให้ประเทศ อย่างน้อยๆ ควรคิดถึงลูกหลานของเรา เพราะสิ่งที่พวกเราทำตอนนี้ ไม่ได้จะเกิดในวันนี้พรุ่งนี้ แต่สุดท้ายปลายทางจะเป็นดอกผลที่ดี ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์” สุรีย์รัตน์ กล่าว

ภาพ ท็อป ทนายความ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
ท็อป ทนายความ อายุ 33 ปี เล่าว่า ส่วนตัวเขารู้จักผู้ถูกคุมขังในเรือนจำหลายคน หนึ่งในนั้นมีเพื่อนของเขา คือ ‘อานนท์ นำภา’ ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้ว 2 ปี
นอกจากนั้น เขายังเห็นว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดีและน่าสนใจ เพราะนอกจากได้ร่วมแสดงพลังประชาชนแล้ว ยังดีต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมด้วย
สุดท้ายนี้ ท็อปอยากฝากข้อความของผู้ถูกคุมขังทางการเมืองว่า “เป็นกำลังใจให้ อยากให้สู้ๆ คนข้างนอกก็ซัปพอร์ตกันเท่าที่จะทำได้ ไม่ลืมพวกคุณแน่นอน”

ภาพ ป้าส้ม ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
“ตอนนี้เด็กๆ เขายังติดคุก ก็มาช่วยกัน อยากช่วยรณรงค์ให้เขานิรโทษกรรมให้เด็กๆ” ป้าส้ม กล่าว
ป้าส้ม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอายุ 60 ปี บอกว่าปกติเธอเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่แล้ว โดยเธออยู่มาตั้งแต่สมัยการชุมนุมต้านรัฐประหาร 2549 คือ หากมีโอกาสและมีแรง เธอจะมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่เสมอ
ทั้งนี้ ป้าส้มได้ฝากข้อความถึงคนที่อยู่ในเรือนจำจากคดีการเมืองว่า ”พวกแม่ๆ ยังสู้กันอยู่นะ ลูกๆ ที่ติดในคุก ก็ ให้สู้อดทน ดูแลสุขภาพกัน“
โดยเฉพาะ ‘อานนท์ นำภา‘ ที่เธอมองว่าเขาสู้มาจนติดคุกและไม่ได้ประกันตัว ทั้งยังมีลูกเล็กอีก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากบอกผู้ใหญ่ในประเทศนี้ว่า ”อย่าให้โทษหนักเกินไป”

ภาพ เสื้อสกรีนลาย “ตัน ต้องไม่ ตัน”
หากใครไปร่วมกิจกรรมวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเห็นคนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อสีดำ สกรีนลายสีฟ้า พร้อมข้อความสีเหลืองว่า “ตัน ต้องไม่ ตัน”
The MATTER ได้เข้าไปพูดคุยกับกลุ่มคนดังกล่าว และพบว่าพวกเขาคือเพื่อนของ ‘ตัน-สุรนาถ แป้นประเสริฐ’ ผู้ทำงานภาคประชาสังคมมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ชุมชน และถูกดำเนินคดี มาตรา 110 ฐานประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี และถูกลงโทษจำคุก 16 ปี
พรทิพย์ อายุ 56 ปี เล่าว่า เธอทำงานร่วมกับพ่อของตันซึ่งทำงานภาคประชาสังคมเหมือนกัน จึงเห็นตันมาตั้งแต่เด็ก และได้ทำงานด้วยกันจนเหมือนเป็น เพื่อน คนหนึ่ง
“ถ้าเขาไปอยู่ตรงนู้น 16 ปี มันเสียโอกาส ทั้งคนที่เขาจะทำงานด้วย คนที่เขาสามารถพัฒนาได้ เสียโอกาสตัวน้องด้วย เสียโอกาสสังคมด้วย เลยคิดว่าอยากจะมาร่วมเดินในวันนี้ อยากให้เขามีโอกาสได้ออกมาทำงานเพื่อสังคมต่อ” พรทิพย์ กล่าว
นอกจากตันแล้ว พรทิพย์ได้ฝากข้อความถึงผู้ถูกคุมขังทางการเมืองอื่นๆ ว่า “อยากจะให้กำลังใจ ให้ต่อสู้ แล้วก็คนข้างนอกไม่ได้อยู่เฉยๆ ทุกคนพยายามที่จะรวมตัวกันเพื่อทำสิ่งดีๆ ให้กับน้องๆ อยู่ อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ว่ายังมีคนห่วงใยเขาอยู่นะ”

ภาพ ซี-จันทนา วรากรสกุลกิจ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม และอดีตผู้ถูกคุมขังทางการเมือง 7 ปี
“พี่เป็นคนเสื้อแดง ต่อสู้มายาวนาน เราเห็นความอยุติธรรมในประเทศนี้มากมาย จากคนเสื้อแดงมาถึงทุกวันนี้” ซี กล่าว
ซี-จันทนา วรากรสกุลกิจ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม อายุ 58 ปี บอกว่า เธอเป็นคนเสื้อแดงและเคยถูกดำเนินคดีทางการเมือง จากข้อหาครอบครองอาวุธฯ ภายใต้การประกาศกฎอัยการศึกของคณะรัฐประหาร และข้อหาอื่นตามมาภายหลังในวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 ก่อนการรัฐประหาร 1 วัน
เธอพ้นโทษเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 รวมเวลากว่า 7 ปี ที่เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ซึ่งระหว่างนั้น ‘สหายภูชนะ-ชัชชาญ บุปผาวัลย์’ คนรักของเธอ หนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองซึ่งกลายเป็น 1 ใน 3 ศพที่ถูกทิ้งลงแม่น้ำโขงช่วงปลายปี 2562
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ได้เห็นความอยุติธรรมของประเทศมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกรณีฆ่าคนตายหลายคดีที่ได้รับการประกันตัวและต้องโทษน้อยกว่าคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
“เราไม่เคยหยุดสู้ เพราะเราเป็นหนึ่งในคนที่เคยติดคุก เรารู้ว่าการสิ้นเสรีภาพเป็นอย่างไร ดังนั้น การที่เราได้อยู่ข้างนอก เรายังพอมีเสรีภาพ เหล่านี้จึงเป็นหน้าที่ (ของคนข้างนอก) ที่ต้องเรียกร้องให้เพื่อนของเราได้รับเสรีภาพ” ซี กล่าว

ภาพ มาโนช สมาชิกมูลนิธิไอแพม (IPAM)
มาโนช สมาชิกมูลนิธิไอแพม (IPAM) อายุ 21 ปี เล่าว่า เขาทำงานอยู่องค์กรเคลื่อนไหวเดียวกับ ‘ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา’ เพื่อรณรงค์และผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ โดยพวกเขาเพิ่งจบภารกิจในภาคเหนือ และเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาร่วมกิจกรรม ก่อนไปปฏิบัติภารกิจต่อในภาคอีสาน
เขามองว่า อย่างน้อยการวิ่งครั้งนี้ก็เป็นการช่วยส่งเสียงให้คนในสังคมไม่ลืมคนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ และฝากข้อความถึงคนในเรือนจำว่า สักวันหนึ่งประชาธิปไตยจะเบ่งบาน และพวกเราต่างรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ต่อสู้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
“สิ่งที่พวกคุณทำมันยิ่งใหญ่มาก สิ่งที่เราตอบแทนได้ก็มีแค่พยายามผลักดันให้สังคมไม่ลืมพวกคุณแค่นั้นเอง” มาโนช กล่าว

ภาพ อู๋ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
อู๋ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม อายุ 40 ปี เล่าว่า เขาไม่ได้รู้จักผู้ถูกคุมขังทางการเมืองคนไหนเป็นพิเศษ เพียงอยากมาร่วมแสดงออกว่า “อยากคืนสิทธิการประกันตัวหรือปล่อยนักโทษการเมือง”
โดยอู๋ได้รับรู้เรื่องราวของผู้ถูกคุมขังทางการเมืองผ่านข่าวและงานรณรงค์ต่างๆ เช่น อานนท์ นำภา, ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, เก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธํารง
สุดท้ายนี้ อู๋อยากฝากข้อความถึงผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนว่า “คนข้างนอกยังไม่ลืมนะครับ เรายังไม่ทิ้งกัน และอยากเรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเราออกมา”

มู่หลาน อายุ 20 ปี เธอเป็นสมาชิกของเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights) และมีโอกาสเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม เล่าถึงเบื้องหลังของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า
“เราพยายามจัดกิจกรรมดึงดูดผู้คนใหม่ๆ ให้สร้างสรรค์ เพราะนี่ไม่ใช่ยุคม็อบกระแสสูงแล้ว เลยเลือกที่จะจัดงานวิ่ง Run2Free ขึ้นมา” มู่หลาน กล่าว
จากภาพรวมของงานก็เห็นค่อนข้างชัดว่า มีคนมาร่วมงานจำนวนมาก และมีคนหน้าไม่คุ้นอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งบรรลุเป้าหมายของการจัดกิจกรรมพอสมควร
ทั้งนี้ มู่หลานได้ฝากข้อความถึงคนที่อยู่ในเรือนจำจากคดีการเมืองว่า
“คิดถึงมาก พวกคุณไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้… ออกมาได้แล้ว จะพยายามทำทุกอย่างให้ทุกคนได้ออกมา ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลืม วันนี้คนมางานเยอะมากเลย คนยังไม่ลืมเรื่องของพวกคุณหรอก เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ รักนะ” มู่หลานกล่าว