นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างพรมแดนไทย-กัมพูชา หลายคนต่างให้ความสนใจและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเหตุการณ์นำมาซึ่งความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ในเวลานี้ทุกสื่อต่างพยายามนำเสนอเหตุการณ์นี้ในหลากหลายมุมมอง รวมไปถึงบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ หรือคนบนโลกโซเชียลที่ต่างพากันแสดงจุดยืนของตัวเอง
คงไม่แปลกหากเราจะติดตามข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะนี่ถือเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนในพื้นที่ และความมั่นคงของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการไหลบ่าของข้อมูล ข่าวสารเหล่านี้ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเท็จจริงที่เราควรรู้เพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงมาด้วยข้อมูลยั่วยุ และปลุกความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังอาจทำไปเพื่อความบันเทิง เพื่อเรียกยอดเอนเกจเมนต์ ทั้งที่มีความเดือดร้อน หวาดกลัว และสูญเสียเกิดขึ้นกับคนที่มีตัวตนอยู่จริง
เบน ไลเนอร์ (Ben Leiner) ผู้สอนวิชาสื่อเทคโนโลยีและประชาธิปไตยที่โรงเรียนธุรกิจดาร์เดน มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย กล่าวถึงการนำเสนอเนื้อหาของสื่อทุกวันนี้ว่า หลายสำนักข่าวมักเน้นการนำเสนอข่าวที่หวือหวา เพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้เรากดคลิกหรืออยากมีส่วนร่วม เรียกได้ว่าข่าวเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรารู้สึกด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกโกรธ กลัว เศร้า หรือวิตกกังวล จากการรับข้อมูลข่าวสารที่ล้นเกินเป็นเวลานาน
ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าทางออกของเรื่องนี้อาจไม่ใช่การเลิกติดตามเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการเลือกดูอย่างมีสติ เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของพาดหัวที่กระตุ้นอารมณ์ตลอดเวลาด้วย
วันนี้เราเลยชวนทุกคนไปดูวิธีรับมือกับข่าวสารและข้อมูลที่กำลังท่วมท้นอยู่บนโลกออนไลน์กัน

ดูข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
การรับข่าวจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของคนที่ตั้งใจปั่นกระแส หรือชักจูงให้เกิดการส่งต่อข้อมูลผิดๆ โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว อย่างประเด็นทางการเมือง
เราสามารถรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น ประกาศจากหน่วยงานอย่างเป็นทางการ สำนักข่าวที่รายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมาและน่าเชื่อถือ หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยตรง เพราะเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ความสำคัญกับความถูกต้องก่อนเผยแพร่ มีเป้าหมายชัดเจนในการนำเสนอ เช่น การแจ้งให้ทราบ หรืออธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้ดี และสามารถใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจอย่างถูกต้อง โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่หลงกระแสของโลกโซเชียล
หลายครั้งความคิดเห็นด้านลบมักได้รับความสนใจจากคนบนโลกโซเชียลได้มากกว่า มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้คำเชิงลบในข่าวออนไลน์ พบว่าคำเชิงลบ เช่น คำที่เกี่ยวกับความโกรธหรือความกลัว ช่วยเพิ่มอัตราการคลิกได้ นั่นหมายความว่าสำนักข่าวบางแห่ง อินฟลูเอนเซอร์บางคน หรือคนบนโลกอินเตอร์เน็ต หากอยากได้รับความสนใจมากขึ้นก็อาจจะเลือกนำเสนอความรู้สึกด้านลบออกมามากขึ้น
หากเรารับข่าวอย่างไม่ระวังก็อาจถูกความคิดเห็นของคนหมู่มากชักจูงไปได้ง่าย จนเกิดความรู้สึกเชิงลบจากการอ่านคอมเมนต์เหล่านั้นไปด้วย เช่น ทำให้เรารู้สึกโกรธ หรือเกลียดใครสักคนได้ง่ายๆ แม้ไม่มีข้อเท็จจริงมารองรับก็ตาม เพื่อไม่ให้เราถูกกระตุ้นด้วยความคิดเห็นของคนอื่นมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าพยายามอ่านเฉพาะเนื้อหาในข่าว แทนการตามอ่านความคิดเห็นของคนอื่นจะดีที่สุด
โฟกัสประเด็นที่สนใจ
ข่าวประเด็นใหญ่ๆ มักมีความซับซ้อน อย่างกรณีที่มีข้อพิพาทรุนแรงระหว่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้าง จึงมักทำให้เราต้องรับรู้ข้อมูลมากกว่าปกติเพื่อทำความเข้าใจภาพรวม
แต่ปัญหาคือบางครั้งเราอาจจะเปิดรับข่าวมากเกินไป จนไม่ได้ระวังว่าเป็นประเด็นที่เราสนใจจริงๆ หรือเปล่า เช่น ข่าวที่เกี่ยวกับความเห็นของบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือภาพเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งที่เราสนใจประเด็นวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นี้มากกว่า การได้รับข่าวที่เราไม่สนใจไปด้วยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารับข้อมูลมากเกินความจำเป็น
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า ยิ่งเราดูข่าวมากเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มที่เราจะรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่กำลังเสพข่าวอยู่ อย่าลืมถามตัวเองว่านี่เป็นข่าวที่เราสนใจจริงๆ ไหม หากไม่ใช่ก็สามารถเลื่อนผ่านไปได้ หรือหยุดรับข้อมูลสักพัก เพื่อให้เราไม่จมอยู่กับความเครียดมากเกินไป
ไม่ไถหน้าจอแบบไร้จุดหมาย
การจำกัดเวลารับข่าวสารก็เป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน แม้บางครั้งเราจะไม่ได้อยากติดตามข่าว แต่เพราะความว่าง หรืออยากหาอะไรทำแก้เบื่อ จึงทำให้เราหยิบมือถือขึ้นมาดูโซเชียลมีเดียโดยไม่ตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวเราปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกด้านลบ พร้อมกับข้อมูลท่วมท้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
การหยุดติดตามข่าวสักพักไม่ได้แปลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สำคัญ แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องพักเพื่อไม่ให้จิตใจรับภาระหนักเกินไป โดยเราอาจเริ่มด้วยการจำกัดเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย เช่น ไม่เล่นมือถือหลังจากตื่นนอนทันที หรือวางโทรศัพท์ช่วงพักกินข้าว เพื่อให้เราไม่เสียสมาธิระหว่างวัน และไม่ทำให้เรารู้สึกวิตกกังวลจากการรับข้อมูลมากเกินไป
กลับมาสนใจความรู้สึกของตัวเอง
แม้ว่าจะลดปริมาณข่าวหรือควบคุมเวลาใช้โซเชียลมีเดียแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ที่เราจะยังรู้สึกเครียดและกังวลอยู่ เพราะไม่สามารถตัดขาดจากข้อมูลที่รับมาได้ อย่าลืมสังเกตความรู้สึกตัวเองบ่อยๆ ถ้าหากรู้สึกแย่ลงให้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ และดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น เช่น การขยับร่างกาย การเขียนบันทึก หายใจเข้าลึกๆ หรือพูดคุยกับคนใกล้ชิดเพื่อให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นนะ
อ้างอิงจาก