จากกรณีเหตุการณ์พลัดตกจากที่สูงในอาคารสูงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สังคมไทยเกิดการตั้งคำถามว่า “เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร” เพื่อลดการสูญเสียที่อาจป้องกันได้
The MATTER จึงทำการรวบรวมข้อมูล ทั้งจากงานวิจัยในต่างประเทศ มาตรการที่เคยใช้จริง และนโยบายที่ไทยมีอยู่แล้ว เพื่อมองหาทางออกที่เหมาะสมในเชิงสังคม สาธารณสุข และเชิงกายภาพ
โลกเดินหน้าเรื่องนโยบาย ไทยยังตามหลัง

ความสูญเสียจากการฆ่าตัวตายนั้นเป็นโศกนาฏกรรม ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้พบเห็น ครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และชุมชน ทั้งนี้ การฆ่าตัวตายในสถานที่สาธารณะอาจมีโอกาสแทรกแซงได้ เช่น มีคนผ่านมาพบเห็นก่อน พื้นที่มีข้อจำกัด มีรั้วกั้น ฯลฯ
นโยบายสาธารณะของรัฐทั่วโลกที่ใช้เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายมีหลายแนวทางที่แตกต่างกัน แต่สามารถสรุปหลักๆ ได้ดังนี้ นโยบายสาธารณะของทั่วโลกมุ่งเน้นไปที่การสร้างยุทธศาสตร์ระดับชาติ, การจำกัดการเข้าถึงวิธีการ, การเพิ่มบริการช่วยเหลือ, การลดการตีตรา และการใช้ข้อมูลและงานวิจัยเพื่อกำหนดนโยบาย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชน
ขณะที่ไทยมีการเปิดเผยหลายด้านที่สะท้อนว่านโยบายสาธารณะไทย ‘ยังมีไม่เพียงพอ’ ในบางจุด แม้ไทยจะมีนโยบายและโครงการหลายอย่าง เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายก็ตาม ทั้งสายด่วน 1323, อสม. และการบูรณาการสุขภาพจิต ฯลฯ
สอดคล้องกับข้อมูลจาก นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่กล่าวว่า หลายกรณีมีความเกี่ยวข้องกับการทำร้ายตนเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนแรงจูงใจ
กรมสุขภาพจิตจึงเน้นย้ำถึงบทบาทของครอบครัวและคนใกล้ชิดในการสังเกตสัญญาณเตือนที่สำคัญ เช่น การโพสต์ข้อความที่สื่อถึงความสิ้นหวัง การพูดหรือฝากฝังสิ่งต่างๆ ก่อนจากไป พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอารมณ์เศร้า หดหู่ หรือการแยกตัวออกจากสังคม สัญญาณเหล่านี้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันและเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา
ดังนั้น มาตรการป้องกันจำเป็นต้องมีความครอบคลุมทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสถานที่สาธารณะ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอาคารสูง ควรพิจารณาติดตั้งแผงกั้นหรือกระจกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน รวมถึงตาข่ายนิรภัยในจุดเสี่ยง ปรับปรุงราวกันตกให้มีความสูงอย่างน้อย 1.1 เมตร และป้องกันจุดที่อาจปีนป่ายได้ โดยใช้กระถางต้นไม้หรือวัสดุตกแต่งที่เหมาะสม พร้อมติดตั้งป้ายหรือโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในบริเวณที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย

ขณะที่ นพ.จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ความเห็นว่าควรเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังด้านความปลอดภัย เช่น การให้มีเจ้าหน้าที่ประจำจุดเสี่ยง การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีประสิทธิภาพ และการอบรมพนักงานทุกระดับให้รู้จักสังเกตพฤติกรรมที่บ่งชี้ความเสี่ยง รวมทั้งฝึกทักษะในการเจรจาเพื่อโน้มน้าวผู้ที่มีความเสี่ยงให้สามารถควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมตนเองได้
นอกจากนี้ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ควรควบคุมพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันการเข้าถึงของประชาชนและสื่อมวลชน พร้อมทั้งประสานงานกับสื่อในการสื่อสารอย่างเป็นกลาง ไม่เสนอข้อความหรือภาพที่น่าสะเทือนใจ จัดตั้งจุดให้คำปรึกษาทางจิตใจแก่พนักงานและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
เพื่อเตรียมการรับมือ เราได้รวบรวมมาตรการจากต่างประเทศ ที่ถูกคิดมาเพื่อลดและป้องกันการฆ่าตัวตายในพื้นที่สาธารณะ
แนวทางป้องกันการฆ่าตัวตายในพื้นที่สาธารณะ
งานวิจัย Preventing suicides in public places ระบุถึงแนวทางการป้องกันการฆ่าตัวตายในสถานที่สาธารณะไว้ว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ
ดังนั้น การมีมาตรการที่จะช่วยขัดขวางการกระทำดังกล่าว จะทำให้บุคคลนั้นหันกลับทบทวนความคิดใหม่ หรือได้รับการช่วยเหลือเพิ่มขึ้น เพื่อลดการเข้าถึงวิธีการฆ่าตัวตาย (reduce access to the means of suicide) โดยเฉพาะสถานที่ที่คนมักเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง ได้แก่ ที่สูง สะพาน ทางรถไฟ ริมหน้าผา ฯลฯ ซึ่ง Public Health England กล่าวถึงขั้นตอนในการป้องกันดังนี้
- การจำกัดการเข้าถึงสถานที่ที่มีสถิติการฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง ด้วยการปิดบางส่วนของสถานที่ สร้างรั้วกั้น รั้วกันกระโดด
- ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อคอยตรวจสอบและป้องกันการเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายในสถานที่เสี่ยง ทั้งผ่านจากกล้องวงจรปิดและกล้องถ่ายภาพความร้อน หรือการเดินลาดตระเวนเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือ
- ติดตั้งป้ายเบอร์สายด่วน ตู้โทรศัพท์ฉุกเฉินฟรี และศูนย์บริการให้ความช่วยเหลือในบริเวณพื้นที่เสี่ยง
- เปลี่ยนภาพลักษณ์ของสถานที่เสี่ยง จากการมีชื่อเสียงว่าเป็น ‘จุดฆ่าตัวตาย’ (suicide site) เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึก ‘ธรรมดา’ มากขึ้น ไม่ดึงดูดในแง่ลบ
- สื่อมวลชนรายงานตามแนวทางที่ลดแรงกระตุ้นต่อสังคม เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ
- เพิ่มโอกาสให้ผู้ที่กำลังมีความคิดฆ่าตัวตาย สามารถขอความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น

งานวิจัยนี้สรุปปิดท้ายว่า จำนวนการฆ่าตัวตายมีแนวโน้มน้อยลง หลังพื้นที่เสี่ยงถูกติดตั้งรั้วกั้น ฉะนั้นการร่วมมือกันคือหัวใจสำคัญ จำเป็นต้องมี ‘ผู้นำ’ ที่สามารถประสานงานหลายฝ่าย เช่น หน่วยงานท้องถิ่น ตำรวจ หน่วยแพทย์จิตเวช การรถไฟ ฯลฯ เพื่อช่วยให้มาตรการดังกล่าวครอบคลุมและยั่งยืนในทุกพื้นที่
‘ญี่ปุ่น-อังกฤษ’ โมเดลป้องกันการฆ่าตัวตายในพื้นที่สาธารณะ?
หลายประเทศมีการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติหลากหลายรูปแบบ แต่เราขอยกตัวอย่างประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นแบบ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ เราขอเริ่มที่ญี่ปุ่นก่อน เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญอัตราการฆ่าตัวตายสูงมายาวนาน จนมีการออกกฎหมาย Basic Act on Suicide Countermeasures หรือ กฎหมายป้องกันการฆ่าตัวตาย เมื่อปี 2006 โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้สังคมมองการฆ่าตัวตายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง ฉะนั้นทุกคนในสังคมต้องตระหนักรู้และเข้าใจต้นตอของปัญหา
กฎหมายดังกล่าวครอบคลุมทั้งการแพทย์ การศึกษา การจ้างงาน สวัสดิการ และการพัฒนาชุมชน ที่หน่วยงานทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังการบังคับใช้กฎหมาย ญี่ปุ่นสามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ สหราชอาณาจักรมียุทธศาสตร์ Preventing Suicide in England เน้นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งก่อนที่จะมียุทธศาสตร์นี้ การฆ่าตัวตายถือเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของสหราชอาณาจักร รัฐบาลอังกฤษจึงได้ออกยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงปี 2023-2028
โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายทั่วประเทศ และเสริมสร้างระบบช่วยเหลือสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญความเสี่ยง ได้แก่ คนหนุ่มสาว ซึ่งมีแนวโน้มการทำร้ายตนเองและการคิดฆ่าตัวตายสูง ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต และกลุ่มเปราะบางทางสังคมหรืออยู่ชายขอบทางสังคม รัฐบาลมีการปรับปรุงบริการสุขภาพจิตชุมชนให้ทุกคนสามารถเข้าถึง และยังลดอุปสรรคทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
การป้องกันการฆ่าตัวตายในประเทศไทย เป็นความท้าทายที่ต้องเดินหน้าต่อ
แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการและนโยบายหลายด้านในการป้องกันการฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเป็นสายด่วนสุขภาพจิต 1323 การบูรณาการงานสุขภาพจิตเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุข หรือการมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในระดับชุมชน แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ คือ ข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรสุขภาพจิต
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย สิ่งที่นำมาปรับใช้ได้ทันที เช่น การเพิ่มรั้วกั้น, สร้างมาตรการความปลอดภัยบนสะพานและอาคารสูงที่เป็นจุดเสี่ยง, ติดตั้งป้ายสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ QR code ข้างสะพาน สถานีรถไฟ, อบรม รปภ. ตำรวจ เจ้าหน้าที่การรถไฟ ให้คอยสังเกตสัญญาณและเข้าช่วยทันที และปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่เสี่ยงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ออกกำลังกาย เพื่อลดบรรยากาศที่กระตุ้นความคิดเชิงลบ ทั้งนี้ ข้อจำกัดเรื่องจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ไทยต้องเร่งแก้ไขเช่นเดียวกัน

ประเทศไทยมีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกน้อยกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) มีจำนวนไม่กี่พันคน ส่งผลให้ผู้คนต้องรอคิวพบแพทย์นาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือจังหวัดเล็กๆ ส่งผลให้คนที่มีภาวะเครียดหรือซึมเศร้าไม่สามารถเข้าถึงคำปรึกษาหรือบริการได้อย่างครอบคลุม
และอีกประเด็นที่ควรได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง คือการรณรงค์เพื่อลดการตีตราที่ยังฝังรากลึกในสังคมไทย หลายคนลังเลที่จะเข้ารับการรักษาเพราะกลัวถูกมองว่าเป็นคนบ้า เป็นคนไม่ปกติ ดังนั้น การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเปิดกว้างต่อการพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยสรุปแล้ว การป้องกันการฆ่าตัวตายในประเทศไทยจำเป็นต้องเดินหน้าทั้งในมิติเชิงกายภาพ การติดตั้งรั้วกั้น ป้ายสายด่วน การอบรมเจ้าหน้าที่ และเชิงระบบสุขภาพจิต การเพิ่มบุคลากรฯ การลดการตีตราผู้ป่วยจิตเวช
อ้างอิงจาก
assets.publishing.service.gov.uk