ในโลกที่การทำงานกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิต คำว่า work–life balance มักถูกหยิบมาพูดถึงเสมอ แม้มันจะดูเป็นแนวคิดในแง่บวกต่อคนทำงาน แต่กลับกลายเป็นเรื่องลางเนื้อชอบลางยาของฝั่งผู้บริหารหลายคน ที่ไม่นิยมแนวคิดนี้กับทั้งตัวเองและลูกน้องสักเท่าไหร่ พาให้เสียงแตกมานักต่อนัก
ชวนให้สงสัยว่ามันเป็นเพียงอุดมคติที่ไกลเกินเอื้อม หรือจริง ๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งที่ควรถักทอเข้าไปในวิถีการทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้?
คติที่ดูเหมือนจะเป็นแนวคิดของโลกยุคใหม่ แต่กลับมีนักปรัชญาพูดถึงสิ่งที่ใกล้เคียงกันนี้มาตั้งแต่ยุคโบราณ นักปรัชญาต่างยุคต่างสมัยให้ภาพคำตอบที่ไม่เหมือนกัน อริสโตเติลมองว่า ความสุขที่แท้เกิดขึ้นได้ก็เมื่อเรามีเวลาว่างสำหรับชีวิตอันมีคุณค่า ซาร์ตร์ชี้ว่า การทำงานเป็นเพียงหนึ่งในโครงการที่เราเลือกเพื่อสร้างความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดเราโดยสิ้นเชิง ส่วนมาร์กซ์มองว่า ทุนนิยมกดขี่ชนชั้นแรงงานจนไม่ได้รู้สึกถึงคุณค่าในงานที่ทำ ก็ไม่อาจก้าวพ้นไปจากการทำงานวันต่อวันในฐานะแรงงานได้
The MATTER เลยชวนมาลองมอง work–life balance ผ่านแนวคิดการทำงานของนักปรัชญา ความเห็นเหล่านี้อาจพาเราไปไกลกว่าการหาสมดุลของตารางเวลา แต่ไปถึงการตั้งคำถามว่า เรากำลังทำงานเพื่ออะไร และงานควรมีพื้นที่เท่าใดในชีวิตมนุษย์

เวลาว่างอันสูงส่ง มอบชีวิตอันสมบูรณ์
การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ฟังดูออกจะเป็นเรื่องของโลกยุคใหม่เสียหน่อย โลกที่แรงงานเรียงหน้ากระดานประจำที่ในโรงงาน โลกที่พนักงานนั่งประจำโต๊ะแบบ 9 to 5 แต่เชื่อไหมว่าโลกยุคโบราณที่ผู้คนยังออกไปรบ ทำสงคราม ทำการเกษตร ค้าขาย ก็มีแนวคิดที่คล้ายคลึงกันนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเป็นใครไปได้นอกจาก อริสโตเติ้ล (Aristotle) นักปรัชญาที่แคะแกะเกาแทบจะทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ออกมาเป็นแนวคิดต่างๆ รวมถึงเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนด้วยเช่นกัน
แนวคิดที่พอจะนำมาพูดถึงเทียบเคียงกับ work–life balance คงจะเป็น เวลาว่างอันสูงส่ง (noble leisure) ใน Politics VIIIทฤษฎีการศึกษาของอริสโตเติล ว่าด้วยการศึกษามีเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์รู้จักทำกิจกรรมอย่างถูกต้องและเพื่อให้ใช้เวลาว่างอย่างสูงส่ง
เราจึงต้องเริ่มจากทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง คุณค่าในการทำงานกับคุณค่าในการใช้เวลาว่าง
มาทำความเข้าใจไปพร้อมกันทีละสเต็ป อริสโตเติ้ลอธิบายว่า การออกไปรบในยามบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม การร่วมกิจกรรมการเมือง สิ่งเหล่านี้มันมีจุดมุ่งหมายจำเป็นอื่นๆ อย่างการไปรบก็เพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ไม่ใช่เพราะอยากได้สงคราม เข้าร่วมการเมืองก็เพราะมุ่งไปที่อำนาจ เกียรติยศ ออกไปค้าขายก็เพราะอยากได้เงิน งานเหล่านี้ล้วนทำไปเพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่างที่ให้คุณค่าเช่นกัน แต่นับว่าเป็นความดีภายนอก (extrinsically good)
เวลาว่างที่ว่านั้นไม่เหมือนกับความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่มันเกี่ยวข้องกับความเพลิดเพลิน ความสุข และการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แนวคิดนี้ค่อนข้างสนับสนุนให้ผู้คนรู้จักแสวงหาเวลาว่างให้กับตัวเอง ไม่ใช่เพียงในแง่ของปริมาณว่ายิ่งว่างมากยิ่งดี แต่เป็นเรื่องของคุณภาพ ว่าจะใช้เวลาว่างอย่างไรให้เกิดคุณค่ากับชีวิต นับว่าเป็นความดีในตัวเอง (intrinsically good)

การมีเวลาว่างคือการมีเสรีภาพในการใช้ชีวิต ได้ทำกิจกรรมที่มุ่งไปสู่การบ่มเพาะคุณธรรม อย่างดนตรี กวีนิพนธ์ และปรัชญา สิ่งเหล่านี้คือจุดหมายที่แท้จริงของเวลาว่างอันสูงส่ง และสิ่งนี้ไม่อาจเป็นไปได้สำหรับผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับงาน อริสโตเติ้ลมองว่า คนที่ทำงานเพียงเพื่ออยู่รอดหรือเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เช่น ทาส แรงงานรับจ้าง จะไม่มีเวลาว่างที่แท้จริง พวกเขาจะวนอยู่กับการทำงานซ้ำซากไปตลอดชีวิต สะท้อนให้เห็นว่า หากงานกินเวลาในชีวิตเราเสียหมด เราก็อาจมีชีวิตที่ไร้เสรีภาพ ไม่ต่างจากการเป็นทาสของงานเอง work–life balance จึงไม่ใช่แค่การจัดการเวลา แต่เป็นเรื่องของเสรีภาพด้วยเช่นกัน
เขาจึงสนับสนุนให้เหล่าคนทำงานมีช่วงเวลาของความบันเทิง การพักผ่อนหย่อนใจ เพราะงานย่อมมาพร้อมกับความเหน็ดเหนื่อยและความตึงเครียด คนทำงานอย่างตรากตรำย่อมต้องการช่วงเวลาผ่อนคลายด้วย และการผ่อนคลายนี้แหละ คือจุดหมายของความบันเทิง จัดสรรมันให้ถูกเวลา แล้วมันจะเป็นดั่งยารักษาโรคจากงาน
ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่วัยทำงาน ทั้งนักเรียน นักศึกษาที่กำลังอยู่ในขั้นของการศึกษา ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เรียนเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีในตัวเองเมื่อก้าวถึงวัยทำงาน รู้จักแยกแยะว่าการทำงานอาจมอบความดีภายนอก (extrinsically good) แต่เราเองต้องแสวงหากิจกรรมที่มอบความดีในตัวเอง (intrinsically good) อย่างการพักผ่อนให้ตัวเราเองด้วยเช่นกัน
งานนิยามเราหรือเรานิยามงาน
หลายครั้งที่เราได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ นอกจากถามชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว อาชีพนับเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกหยิบยกมาถามอยู่บ่อยครั้ง จนหลายคนมักชิงแนะนำอาชีพไปพร้อมกันเลย อาจด้วยเป็นศูนย์กลางหลักในชีวิตของเราเสียจนกลืนกินตัวตนของเรา จนบางครั้งก็เป็นภาพเบลอว่าเราเป็นคนหนึ่งที่มีอาชีพนี้ นิยามว่าตัวเองทำงานอะไร หรือเรากำลังปล่อยให้งานมานิยามตัวตนของเรา
ในงาน Being and Nothingness (1943) ของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาคนสำคัญของฟากฝั่งอัตถิภาวนิยม อธิบายว่ามนุษย์นั้นดำรงอยู่มาก่อนแก่นแท้ (existence precedes essence) หมายความว่าเราไม่มีธรรมชาติที่ตายตัวมากำหนดชีวิต เราต้องเลือกและลงมือทำเพื่อสร้างความหมายด้วยตนเอง ทุกคนต้องเลือกเองว่าจะมีชีวิตแบบไหน
ย้อนกลับมาที่งาน หากเราอยากมีชีวิตเป็นหมอ ตำรวจ ทนาย นับว่าเป็นการนิยามชีวิตที่เราเลือกเองด้วยหรือเปล่า เขามองว่างานไม่ใช่สิ่งที่นิยามชีวิตเราโดยตรง ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดแก่นของชีวิตเรา แต่เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกของการสร้างความหมาย เป็นเหมือนโปรเจ็กต์หนึ่งในชีวิตที่เราอาจจะหยิบมันขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของเราเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่บทบาทตายตัว ถ้าเราปล่อยให้งานกลายเป็นตัวกำหนดทั้งหมด แปลว่าเรากำลังหนีเสรีภาพของตัวเอง
work–life balance ในมุมมองของซาร์ตร์ คือการไม่ยอมให้งานกลืนกินความหมายทั้งหมดของชีวิต เขามองว่าสมดุลไม่ได้อยู่ที่การแบ่งเวลาให้เท่าๆ กัน แต่มันคือการตระหนักว่าเราเสรีพอจะกำหนดว่า อะไรคือความหมายสำคัญ เราเลือกเองได้ว่าจะให้งานมีน้ำหนักเท่าไหร่ในชีวิต และรักษาเสรีภาพให้พื้นที่อื่นในชีวิต

งานที่ทำให้เราแปลกแยก
หากพูดถึงเรื่องงาน แรงงาน ทุนนิยม จะไม่เอ่ยถึง คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ก็คงไม่ได้ แนวคิดที่โด่งดังและยังคงใช้ได้ในทุกยุคสมัยอย่าง แรงงานที่ถูกทำให้แปลกแยก (Alienated Labor) ว่าด้วยเรื่องภายใต้ระบบทุนนิยม มนุษย์สูญเสียความเป็นตัวเองผ่านการทำงาน เพราะงานไม่ได้เป็นกิจกรรมที่เราเลือกอย่างอิสระ แต่กลายเป็นสิ่งที่ถูกบังคับเพื่อความอยู่รอด จนไม่รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผลผลิตหรือผลงานฝีมือเราเอง
โดยความแปลกแยกที่ว่านั้นแบ่งออกเป็น 4 ข้อหลักๆ ดังนี้
- ความแปลกแยกจากผลผลิตของแรงงาน
เมื่อสิ่งที่เราผลิตไม่ได้เป็นของเรา แต่เป็นผลผลิตของนายทุน ทำให้เราไม่มีความผูกพันกับสิ่งที่ทำ เช่น คนทำงานผลิตของชิ้นหนึ่งทั้งวัน แต่ไม่สามารถใช้หรือเป็นเจ้าของสิ่งนั้นได้ - ความแปลกแยกจากกระบวนการทำงาน
การทำงานกลายเป็นกิจกรรมบังคับ ที่เราต้องทำเพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจหรือความหมายในชีวิต จนรู้สึกว่างานพรากเวลาในชีวิตไปมากกว่าจะเข้ามาเติมเต็มความหมายในชีวิต - ความแปลกแยกจากเผ่าพันธุ์ตนเอง
เดิมทีเรามองว่าเผ่าพันธุ์ของเรามีสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากร ทำมันมาใช้สร้างสรรค์ผลผลิตให้ตัวเอง แต่ระบบทุนนิยมทำให้เราไร้อำนาจนั้น - ความแปลกแยกจากความสัมพันธ์ต่อผู้อื่น
ระบบทุนนิยมส่งเสริมการแข่งขันและความแตกแยกในสังคมการทำงาน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากเพื่อนร่วมงานเพราะต้องแข่งขันกันอยู่เสมอ ทั้งในแง่อำนาจ ผลงาน หรือการชิงไหวชิงพริบ เพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าในการทำงาน
จากแนวคิดความแปลกแยกนั้น พอจะให้เราเห็นภาพว่า ในมุมมองของมาร์กซ์ โลกทุนนิยม มอบงานจำนวนมาก แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเพราะอยากทำ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด เราจึงเสียเวลาชีวิตและพลังกายพลังใจส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่ไม่ได้สร้างความหมายให้เรา
ผลคือชีวิตถูกแบ่งอย่างชัดเจนว่า เวลางานคือช่วงเวลาที่เรารู้สึกถูกพรากไป และเวลาส่วนตัว คือเวลาที่เราพยายามเรียกคืนความเป็นมนุษย์กลับมา แต่ตราบใดที่ระบบยังทำให้เราต้องขายแรงงานเพื่ออยู่รอด ปัญหาความแปลกแยกนี้ก็ไม่ถูกแก้ไขและจะไม่จากเราไหน นั่นหมายความว่า work–life balance แท้จริงต้องไปไกลกว่าแค่แบ่งเวลา แต่ต้องสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถทำงานเชิงสร้างสรรค์ได้ และมีเวลาว่างสำหรับการพัฒนาตน เพราะนั่นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทำในที่เราเลือกทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดอย่างการทำงาน

สุดท้ายแล้ว การพูดถึง work–life balance อาจไม่ใช่เพียงเทคนิคการจัดตารางเวลา หรือเคล็ดลับการพักผ่อนหลังเลิกงาน แต่คือการกลับไปตั้งคำถามถึง คุณค่าในชีวิตที่เราเลือกเองได้ อริสโตเติลชี้ว่าเวลาว่างคือหนทางไปสู่ชีวิตที่ดี ซาร์ตร์เตือนว่าเรามีเสรีภาพที่จะไม่ให้งานกลืนความหมายของชีวิตทั้งหมด และมาร์กซ์ย้ำว่าระบบสังคมคือสิ่งที่กำหนดว่าเราจะได้มีเวลาว่างเพื่อความเป็นมนุษย์หรือไม่
เมื่อมองย้อนจากทั้งหมดนี้ คำถามที่ยังคงอยู่ก็คือ เราจะให้น้ำหนักกับงานและชีวิตอย่างไร? งานควรเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเพื่อให้เราได้มีชีวิตที่ดี หรือเรายอมปล่อยให้มันเป็นตัวตนและสารัตถะแห่งชีวิต
บางที work–life balance อาจไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติไกลตัว แต่เป็นการตัดสินใจของเราเองที่ในชีวิตประจำวัน ว่าแท้จริงแล้ว เราทำงานไปเพื่ออะไร และเรากำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร
อ้างอิงจาก