นรกในคติทางศาสนา เป็นพื้นที่ลงทัณฑ์ นรกในคำสบถ เป็นถ้อยแถลงถึงความงุ่นง่านในใจ นรกในน้ำพริกก็อาจบอกถึงดีกรีความเผ็ดที่มากกว่าแบบอื่น แต่บางครั้ง นรกเป็นเพียงห้องว่างเปล่าเท่านั้น
ความคิดแรกหลังจากได้ยิน ได้อ่าน วลีที่ว่า “นรกคือคนอื่น” “Hell is other people.” “L’enfer, c’est les autres” คิดว่าสิ่งนี้กำลังบอกอะไรเรา บอกว่าคนอื่นมักนำพาสิ่งร้ายๆ มาให้ บอกว่าคนอื่นนั้นเป็นบ่อเกิดความทุกข์ หรือบอกว่าคนอื่นนั้นแย่เสียจริง มีเพียงเราเท่านั้นแหละที่ดีกว่าใคร
ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง วลีนี้ของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) มาจากบทละครเรื่อง Huis Clos หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า No Exit ที่นับว่าเป็นอีกนผลงานสำคัญในวงการอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ของเขา
ในเรื่องนี้เล่าถึงวิญญาณ 3 ตนในนรก ถูกส่งไปอยู่ในห้องปิดตาย ไร้หน้าต่าง ไร้ทางออก พวกเขาต่างคิดว่าตนจะถูกลงโทษด้วยวิธีทางกาย แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อห้องนั้นไม่มีอุปกรณ์ทรมานใดๆ ให้เห็น สุดท้ายการทรมานนั้น ไม่ได้มาจากความเจ็บปวดบนเนื้อตัว แต่เป็นการต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างถาวร ไม่อาจหลีกหนีการตัดสินจากสายตาของอีกฝ่ายได้เลย

แล้วคนอื่นเป็นนรกอย่างไรในเรื่องนี้
วลีนี้ในความหมายของฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ จึงไม่ได้หมายถึงเราถูกคนอื่นด่าทอหรือทุบตี แต่หมายถึงสภาวะที่ ‘เรา’ กลายเป็นสิ่งที่ถูกจับจ้องในสายตาผู้อื่น พอเป็นแบบนั้น แปลว่าเรากำลังกลายเป็นวัตถุที่ถูกมองเห็นมากกว่าเป็นคนที่เลือกและนิยามตัวเองได้
แต่อย่างไรเราก็ต้องถูกรับรู้ มีคนรู้ถึงการมีอยู่ของเราอยู่ดีไม่ใช่หรือ แล้วสิ่งนั้นมันแย่อย่างไร
เมื่อมีสายตาของผู้อื่นเข้ามา เราทำได้อย่างมากก็แค่แสดงออกไปในแบบที่อยากให้เขาเห็น อยากให้เขาเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น แต่เราไม่อาจเข้าไปบังคับจิตใจเขาได้ ว่าให้มองเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือในแบบที่เราอยากให้เขามองมา มันจึงเหมือนเราถูกตรึงไว้กับภาพลักษณ์ในใจของผู้อื่น เช่น คนที่ถูกมองว่าอ่อนแอ แม้จะมองว่าตัวเองเข้มแข็งเพียงใด นานวันเข้าก็อาจเริ่มเห็นตัวเองตามภาพนั้นที่ผู้อื่นมองเข้ามา
นรกคือคนอื่น จึงหมายถึง ความทุกข์จากการต้องดำรงอยู่ในสายตาและคำตัดสินของผู้อื่นอย่างไม่อาจหลีกหนีได้

วลีนี้ไม่ได้เป็นแค่บทละครบีบคั้นอารมณ์ แต่สะท้อนถึงแนวคิดของฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ได้เป็นอย่างดี ดั่งที่เคยอ้างถึงในบทความก่อนอยู่หลายครั้ง ถึงหนังสือ Being and Nothingness (1943) เขาเสนอว่า “Existence precedes essence” มนุษย์นั้นดำรงอยู่มาก่อนแก่นแท้ หมายความว่าเราไม่มีธรรมชาติที่ตายตัวมากำหนดชีวิต เราต้องเลือกและลงมือทำเพื่อสร้างความหมายด้วยตนเอง ทุกคนต้องเลือกเองว่าจะเป็นใคร มีชีวิตแบบไหน ไม่มีใครมากำหนดเราได้นอกจากตัวเราเอง และสิ่งนี้เองคือเสรีภาพขั้นสุดของมนุษย์
แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ต่อให้เราไปอยู่บนปราการโดดเดี่ยวกลางทะเล ก็ต้องมีใครสักคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา ปัญหาคือเมื่อคนอื่นมองเข้ามาเรา เราก็เริ่มกลายเป็นวัตถุในสายตาของเขาแล้ว
ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์เรียกสภาวะนี้ว่า “being-for-others” คือการที่เรารับรู้ตัวเองผ่านสายตาของอีกฝ่าย กล่าวถึงอัตลักษณ์ตัวตนของเราที่ก่อตัวขึ้นผ่านปฏิสัมพันธ์และการรับรู้ของเราที่มีต่อผู้อื่น แนวคิดนี้สามารถอธิบายถึงแนวคิดการดำรงอยู่ในฐานะวัตถุในสายตาของผู้อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกวิตกกังวลหรือสำนึกผิดในตนเอง
หลายคนอาจนึกสงสัยว่า “เราจะแคร์สายตาคนอื่นทำไม?” จะว่าเช่นนั้นก็ได้ เราอาจไม่ยอมทำตามที่ผู้อื่นบอก อาจหลีกเลี่ยงการทำอะไรไม่เป็นตัวเอง เพียงเพราะคนอื่นคาดหวังก็ได้ แต่เรื่องที่กำลังคุยกันนี้ มันเล็กลงไปกว่านั้น ละเอียดลงไปถึงวินาทีที่เราเริ่ม เหยียดหลังให้ตรงแน่ว เมื่อมีใครสักคนเดินเข้ามา
ลองนึกถึงในตอนที่เราอยู่ในห้องเพียงลำพัง จะนั่ง จะเดิน จะพูด อย่างไรก็ได้ แต่พอมีคนอื่นเข้ามา แม้จะไม่รู้จักกัน ไม่ต้องเข้าไปทักทาย พูดคุย เรากลับรู้สึกว่าไม่อาจทำตัวเช่นในตอนอยู่คนเดียวได้ เราเริ่มประหม่า รีบจัดท่าทางให้ดูดี เพราะเรากำลังมองตัวเองในแบบที่คนอื่นเห็น ตรงนี้เองที่เสรีภาพของเราถูกคุกคาม ถูกสายตาของผู้อื่นตรึงให้กลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเราเป็น

เขาๆ เราๆ เธอๆ อาจจะงงว่าตกลงใครมองใครกันแน่ งั้นว่ากันง่ายๆ เรากลัวสายตาที่คนอื่นมองมา หากมันดีก็ดีไป แต่หากมันไม่ใช่ตัวตนเรา เราก็กลัวว่าจะต้องติดอยู่กับภาพลักษณ์นั้นตลอดไป แม้จะพยายามแก้ต่างแค่ไหน ใครกันจะบังคับจิตใจคนอื่นได้ทั้งหมด
แม้เราจะเป็นอิสระในโลกของตัวเอง แต่เราก็ไม่เคยหลุดพ้นจากสายตาของมนุษย์คนอื่นเลย สิ่งที่ทรมานจึงไม่ใช่ไฟในนรกโลกันต์ แต่คือการต้องอยู่ในคำตัดสินของกันและกันตลอดไป และไม่มีโอกาสเป็นตัวเองอย่างอิสระอีกเลย
อ้างอิงจาก
Stanford Encyclopedia of Philosophy