ชื่อและตำแหน่งบนนามบัตร จัดวางอยู่ในบรรทัดที่ไม่เคยห่างไกลกัน เพื่อแนะนำให้รู้จักเจ้าของนามบัตรนั้น ผ่านหน้าที่การงาน แน่ล่ะ นามบัตรมักถูกหยิบขึ้นมาใช้ในโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเสมอ นั่นหมายความว่าชื่อและตำแหน่งของเราถูกยึดโยงอยู่ด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ในโลกการทำงาน แต่มันจะเข้ามากลืนกินถึงชีวิตทั้งหมดของเราด้วยหรือเปล่านะ
การแบ่งสันปันส่วนที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ได้ว่าด้วยเรื่องของ work life balance เวลางานและเวลาส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของตัวตนที่ยึดโยงอยู่กับงาน
กลายเป็นว่าเราใช้อาชีพมากกว่าบอกว่าเราเป็นใคร หลายครั้งเราเลือกจะแนะนำตัวกับคนเพิ่งรู้จักว่าเป็นใครด้วยอาชีพ จนแทนจะเป็น starter pack ของบทสนทนาหน้าใหม่ แล้วถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้ทำอาชีพนั้นอีกต่อไป นิยามตัวตนของเราจะเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า? เราจะยังเหลืออะไรไว้ให้เราเป็นเราอยู่?
The MATTER ชวนสำรวจเส้นแบ่งของตัวตนและอาชีพ ความเกี่ยวโยงของทั้งสองสิ่ง ผ่านแนวคิดของนักปรัชญา ผ่านคำถามที่ว่า งานสร้างตัวตนให้เราหรือเราสร้างตัวตนผ่านงาน ใครสร้างใคร ดังนั้นเราขอพาทุกคนไปทำความเข้าใจกันตั้งแต่การเริ่มนิยามความเป็นตัวเรากันก่อนดีกว่า

เพราะการเลือกนิยามคือเสรีภาพของการดำรงอยู่
ในงาน Being and Nothingness (1943) ของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาคนสำคัญของฟากฝั่งอัตถิภาวนิยม อธิบายธรรมชาติของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ซึ่งสามารถสืบสาวราวเรื่องไปถึงการนิยามตนเองของเราได้ แต่ด้วยเนื้อหาที่กว้างขวางและซับซ้อน เราจึงขอหยิบยกบางส่วนมาอธิบายอย่างง่ายเพื่อให้เห็นภาพไปพร้อมกัน ทั้งนี้ หากใครสนใจสามารถนำคีย์เวิร์ดไปเสิร์ชต่อได้เช่นกัน
อย่างที่บอกว่างานชิ้นนี้พูดถึงการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง เขาได้แบ่งการดำรงอยู่ที่ว่านี้เป็นสองแบบ ได้แก่ Being-in-itself การดำรงอยู่แบบตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเสรีภาพ และ Being-for-itself การดำรงอยู่ของมนุษย์ผู้มีสำนึกรู้ในตนเอง เปิดกว้าง มีเสรีภาพ และเรามีความว่างเปล่า (nothingness) ซ้อนอยู่ในบางช่วง ทำให้เรามีเสรีภาพที่จะสร้างความหมายและกำหนดตนเอง
ความว่างเปล่านั้นไม่ได้หมายถึงชีวิตที่ไร้ความหมาย ความว่างเปล่าเกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างสองรูปแบบของการดำรงอยู่ จิตสำนึกของมนุษย์ในฐานะที่ดำรงอยู่เพื่อตัวมันเอง ได้นำความว่างเปล่าเข้ามาสู่โลกด้วยการปฏิเสธ คือเลือกที่จะเป็นและไม่เป็นได้ มีประสบการณ์ต่อความว่างเปล่าได้ ความสามารถในการปฏิเสธนี้ทำให้มนุษย์สามารถจินตนาการถึงความเป็นไปได้ ทางเลือก และศักยภาพอื่นๆ ที่ฝั่ง Being-in-itself ไม่มี

ทีนี้ มันก็นำไปสู่ข้อเสนอที่ว่า มนุษย์มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพนี้มาพร้อมความรับผิดชอบเต็มที่ต่อตัวเลือกในการกระทำของเรา จนเกิดเป็นแก่นของ existentialism ที่ว่าเราไม่มีแก่นแท้ตายตัว มนุษย์นั้นดำรงอยู่มาก่อนแก่นแท้ (existence precedes essence) หมายความว่าเราไม่มีธรรมชาติที่ตายตัวมากำหนดชีวิต เราต้องเลือกและลงมือทำเพื่อสร้างความหมายด้วยตนเอง ทุกคนต้องเลือกเองว่าจะมีชีวิตแบบไหน
กลับมาที่งานและตัวตนของเรา หากมองผ่านแนวคิดของซาร์ตร์แล้ว เราไม่ถูกกำหนดด้วยงานที่ทำ แต่เป็นเราเองที่เลือกจะนิยามว่าเราคือใครผ่านงานหรือสิ่งอื่น ตำแหน่งจึงเป็นแค่หนึ่งทางเลือกในการแสดงออกของตัวตน ไม่ใช่เนื้อแท้ที่ตายตัว หากเราจะนิยามตัวเองว่าเป็นอาชีพที่ทำอยู่ เราก็เป็นเพราะเราเลือกนำเสนอตัวเองว่าเป็นแบบนั้น ไม่ใช่เพราะตัวนิยามนั้นมากำหนดเรา ถ้าเราปล่อยให้งานกลายเป็นตัวกำหนดทั้งหมด แปลว่าเรากำลังหนีเสรีภาพของตัวเอง
ชื่อตำแหน่งจึงไม่ได้กำหนดว่าเราคือใครอย่างสมบูรณ์
อาชีพเปลี่ยนไปแต่เราไม่ได้เปลี่ยนตาม
บางคนมองหาลู่ทางขยับขยายเมื่อทำงานที่หนึ่งได้สองสามปี บางคนเลือกย้ายสายงานที่สู่งานที่ไม่คุ้นเคย บางคนเลือกมีงานเดียวเพียงตลอดชีวิต แต่มันก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ต้องมีสักวันที่งานนั้นต้องจากเราไป เมื่อวันนั้นมาถึง นิยามในตัวเราจะเปลี่ยนไปตามชื่ออาชีพ ชื่อตำแหน่งด้วยหรือเปล่า?
งั้นเรามาสำรวจเรื่องนี้ผ่านแนวคิดของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาเชื่อว่าตัวตนของคนเรานั้น จะอยู่ที่ความสามารถที่จะสะท้อนความคิด และมีสำนึกตระหนักรู้ในตัวเอง (consciousness) ในฐานะที่เป็นตัวตนสิ่งเดียวกับที่เป็นอยู่ในอดีต และก็จะเป็นสิ่งเดียวกันสิ่งเดิมนี้ต่อไปในอนาคต ด้วยการมีประสบการณ์ด้วยตัวเราเอง สั่งสมมาเรื่อยๆ เป็นความทรงจำ
ทีนี้ลองเอางานเข้าไปเป็นหนึ่งในสมการนี้ อาจมองได้ว่าถึงเราจะเปลี่ยนอาชีพหรือตำแหน่งไปเรื่อยๆ แต่ประสบการณ์และความทรงจำที่สะสมมาก็ยังเป็นตัวเราคนเดิม เราก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวตนของเรา เพียงแต่มีประสบการณ์ที่เปลี่ยนไปตามงานที่เปลี่ยนเท่านั้นเอง ความทรงจำในการทำงานและบทเรียนที่ได้ จะยังเป็นส่วนหนึ่งของเราเสมอ

จากทั้งแนวคิดทั้งสองของซาร์ตร์และล็อก ช่วยย้ำเตือนว่า ตัวตนของเราไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งในหน้าที่การงาน แต่ขึ้นอยู่กับเสรีภาพที่เราเลือกจะเป็น และประสบการณ์ที่สลักเป็นร่องรอยในสายธารแห่งความทรงจำที่ทำให้เรายังจดจำตัวเองได้เสมอ แม้จะมีสิ่งใดหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ามาเท่าไหร่ก็ตาม
ทั้งนี้ เราไม่ได้กำลังจะให้ลดความภาคภูมิในอาชีพของตัวเอง เพียงแต่ในแง่หนึ่ง งานเป็นเหมือนเครื่องมือที่เราใช้สร้างและเล่าตัวตน แต่ไม่ใช่แก่นแท้ของการดำรงอยู่ เรามีเสรีภาพสร้างความหมายใหม่ได้
โปรดอย่าลืมว่าตัวตนของเรากว้างกว่าตำแหน่งบนนามบัตร เรายังเป็นลูกของพ่อแม่ เป็นเพื่อนรัก เป็นลูกค้าประจำร้านตามสั่ง เป็นใครสักคนที่เราเองเลือกจะนิยามได้มากกว่า
ถ้าวันหนึ่งไม่มีตำแหน่งติดอยู่บนชื่อเรา เราอาจจะเหลือพื้นที่กว้างให้นิยามตัวเองในแบบที่อิสระและซื่อตรงกว่าที่เคย
อ้างอิงจาก
Stanford Encyclopedia of Philosophy, #2