จากครั้งก่อนที่มาคุยให้คุณฟังถึงการ ‘แอคเซปชั่น’ แสดงในไม่แสดงในแสดง ฉันเลยไปออกกองถ่ายด้วยความบันเทิงกว่าที่เคย เพราะเริ่มจับสังเกตดูพี่น้องร่วมอาชีพกระทำการแอคเซปชั่นกันในฉากต่างๆ คุยกันหัวเราะคิกๆ อยู่ดีๆ พอกล้องพร้อมถ่ายก็ผรุสวาทด่าทอ เงื้อมือตบกันเป็นสามารถ หรือตะโกนสั่งชาเขียวกันยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็หันกลับมาน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงได้ฉับพลัน
ดูไปก็เลยเกิดอยากจะรู้ ว่าแต่ละคนรู้สึกว่าฉากไหนลำบากสำหรับทำการแสดงบ้าง เพราะฉันเห็นคนดูมักจะอู้วอ้าอื้ออึงกับซีนอารมณ์ต่างๆ ร้องไห้อย่างทระนง ร้องไห้อย่างเสียสติ ร้องไห้อย่างหัวใจสลาย
ตอนเด็กๆ ฉันก็ระแวงฉากร้องไห้นี่แหละ แหม ก็เด็กขนาดนั้นบางทีมันไม่เข้าใจมิติทางอารมณ์ของมนุษย์ ว่าการร้องไห้ไม่ได้หมายถึงเศร้าหรือเสียใจอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงต้องเกิดจากความตายอย่างเดียว ไอ้ฉันกลัวจะร้องไห้ไม่ได้ ทำกองถ่ายเค้าเสียเวลา เลยนั่งระทมอมทุกข์ หม่นหมองประคองใจ คิดแต่เรื่องเศร้าๆ ว่ามีคนสำคัญในชีวิตตายจากเราไปทีละคน ทีละคน ทีละคน
จนคิดวนครบโคตรมาให้แม่ฉันตายเป็นรอบที่ 5 นี่ล่ะ กลวิธีนี้ก็ชักจะไม่ได้ผล คนมันจะเศร้าซ้ำๆ กับเรื่องเดิมๆ นี่ไม่ง่ายนะคะคุณ จากที่รอบแรกแม่ฉันตายธรรมดา ก็ชักจะตายโลดโผนทรมานขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคิดยิ่งแช่งแม่ อย่ากระนั้นเลย วิธีนี้เห็นทีจะไม่เวิร์คในระยะยาว ไปๆ มาๆ แล้ววิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือเศร้าไปตามตัวละครนั่นแหละ เขาเศร้าเรื่องอะไรเราก็อาศัยเศร้าสิงร่างไปกับเขาด้วย เล่นจบแล้วก็จบจากกัน ไม่ต้องมานั่งสั่นผวาว่ากูย้ำคิดว่าพ่อตาย แม่ตายออล เดอะ ไทม์แม้จะสั่งคัทไปแล้ว
เท่าที่คุยๆ จากเพื่อนร่วมอาชีพและสอบถามจากผู้ชมมีคนตอบตรงกันหลายคนอยู่ ว่าไอ้ฉากที่ยากๆ เล่นแล้วฝืนๆ เขินๆ เนี่ย ไม่ใช่ฉากกระชากอารมณ์ดราม่าหรอก แต่เป็นฉากทั่วๆ ไป ฉากเฮฮาสนุกสนาน ฉากกินข้าวคุยกัน ฉากร่าเริง รวมอารมณ์โพสิทีฟทั้งหลาย
อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้น
อย่างแรกก็เพราะบรรยากาศในกอง–เวลาคุณถ่ายฉากเครียดๆ น้ำตาแตก ระเบิดอารมณ์ หรือเลิฟซีน ทุกคนจะช่วยกันเบาเสียงเพื่อให้นักแสดงสร้างสมาธิ เราเองก็สามารถขอหลบไปอยู่ในหลืบลับเพื่อบิลด์อารมณ์เงียบๆ โดยไม่ต้องมีสายตา 50 คู่มาจ้องอยู่ ว่ามึงจะเล่นได้หรือยัง ไม่มีเสียงตะโกนเช็กเลขหวยกันอึงคะนึง หรือบอลคืนนี้เตะกี่โมงวะ ราคาเท่าไหร่ อ้าว ใครเติมไฟตรงนั้นที มันเป็นเงาพาดหน้า นี่แก้วเราปะ ใส่น้ำแดงไว้เนี่ย กินนะกินนะ ร้อนอะ พัดลมเปิดได้มั้ย ใครถูพื้นทีโว้ย รอยตีนในฉากเป็นเทือกเลย
ไม่มี
มันจะเงียบ
เราจะมีสมาธิ
เราจะเล่นไปแม้จะได้ยินเสียงจิ๊กจั๊กจุ๊ปากเบาๆ จากตากล้องเพื่อให้คิว ให้เดินเบี่ยงออกมาหน่อย เราจะแยกประสาททำตามคำสั่งเสริมได้ทั้งที่น้ำตากบลูกนัยน์ตานั่นล่ะ
หรือเลิฟซีนในแบบฉันนี่ก็เถิดเทิงไม่แพ้ฉากบู๊ อย่างในนเรศวรที่บรรจงจูบกันในน้ำแล้วเอนร่างพาดตลิ่งเร้าใจเร้าอารมณ์ท่านผู้ชมนั่น เบื้องหลังคือคนประมาณล้านแปดเดินกันให้ไขว่ เสียงท่านมุ้ยตะโกนใส่ไมค์สั่งแอคติ้งเป็นระยะ ‘เอ้า เอนลงเว้ย ค่อยๆ เอน ไอ้เตอร์เอามือประคองหัวไอ้ทรายไว้ เอ้า อย่าหยุดดูกูสิ ปากมึงก็จูบไป หูค่อยฟัง’ ช่างไฟวิ่งขนถุงทรายมากั้นให้น้ำได้ระดับต่อเนื่อง ผู้ช่วยกล้องยืนส่องฟ้า ตะโกนว่าเมฆมาแล้วคร้าบ แดดน่าจะเฝดในอีก 10 วิ คนเลี้ยงม้าต้อนขี้ม้าไม่ให้ไหลมาทางคู่ที่เลิฟซีนกันอยู่
ไหนวะแบบที่ดาราฝรั่งมันสัมภาษณ์ว่ามีแค่ตากล้องกับผู้กำกับในฉากเลิฟซีนเนี่ย
ของกูยังกะถ่ายในตลาดน้ำ
แต่กองอื่นเขาคงเงียบกันล่ะมั้ง ไอ้ฉันนี่อยู่กับทีมนเรศวรนานเกินไป จนเขาเห็นเป็นช้างเป็นม้า ไม่มีความตื่นเต้นระทึกใจอะไรแล้ว
ส่วนไอ้ที่บอกว่าอารมณ์โพสิทีฟทั้งหลายนั้นมันยาก ก็เพราะว่า–เอ่อ–มันยากน่ะ
อะ–อย่างมุกตลกนี่คุณฟังซ้ำได้กี่ครั้งกัน? เกิน 2 เกิน 3 ก็ชักจะเฝือ จะให้ตลกตบโต๊ะได้ตลอดก็ดูปล๊อมปลอมเป็นแค่นหัวเราะ หรือไอ้การทำตัวเริงร่าตียอดหญ้าฟุ้งๆ ฝันๆ ที่เขาเอาไว้ใส่ช่วงพระนางตกหลุมรักกัน มันก็ประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าคาที่คันฉิบหาย บาดกูเป็นริ้วๆ ดังปลาช่อนแห้ง สูงขึ้นมาถึงขาอ่อนที่ข้างล่างเป็นพื้นลุ่มแฉะเหมาะแก่การดำนา แต่เราก็ต้องเกร็งขาและเกร็งยิ้มให้ประดับใบหน้าอยู่เสมอ ทั้งที่ในใจอยากจะถกกระโปรงขึ้นมาเกาๆๆๆ ให้สาสม พระอาทิตย์ก็ร้อนจะตรงกบาลก่อเกิดเป็นเงาใต้ตา ก็ต้องยกไฟดวงใหญ่เท่าโลกมาวางอัดหน้าไม่ให้เกิดความคล้ำหมอง แต่กระจ่างใสไม่ต่างอะไรจากสาวน้อยแรกรัก หมุนตัวกระโปรงบานอ้อล้อกันไปมาจนฝ้าจับโหนกแก้ม
หรือจะเป็นฉากกินข้าว ประกอบบทสนทนาเทือกๆ “โอ้โห น่ากินทั้งนั้นเลย” “วันนี้ทำแต่ของโปรดเลยนะจ๊ะ” ก็จะประกอบไปด้วยของโปรด (เหรอ) ที่ตกค้างมาจากข้าวกองถ่ายมื้อกลางวันเป็นอาทิ หรือทำมาใหม่ๆเมื่อวานนี้เป็นต้น สร้างความจับไขไม่น่าดู ข้าวร่วนเป็นผงจนกูนึกว่ากูเป็นไก่จิกข้าวเปลือก แต่ต้องทำท่าจ้วงกินแบบอร้อยอร่อย คุณไปดูเถอะ อย่างน้อยก็ร้อยละ 80 นั่นล่ะ ที่ฉากกินข้าวในละคร คุณจะเห็นนักแสดงตักแต่ข้าวเปล่าแล้วทำหน้าโสมนัสสุดพลังในกับข้าวมื้อนั้น ถ่ายฉากนี้เสร็จลุกไปเปลี่ยนชุด กลับมาถ่ายฉากกินข้าวอีกครั้งก็ยังเป็นกับข้าวเดิมนั่นแล ชั่วแต่เปลี่ยนปรับสลับที่เสียหน่อย เท่านี้เราก็ทำท่า “อ้ามมมมมมม อร่อยยยยยยยย” ไปได้อีกหลายเพลา
สิ่งเหล่านี้แลคือความฮา ที่เหล่านักแสดงแอบมองตาก็คิกคักครุคริตะมุตะมิกันก่อนเข้าฉาก เพื่อที่เมื่อสิ้นเสียงนับ 5-4-3-2 เราก็จะโผนเข้าบีฑา สาดคำด่าหรือปาดน้ำตาใส่กันได้ทันที
อาาาาา—ความงดงามของวงการบันเทิง!