1. ในระหว่างปี 1973-1990 เป็นช่วงเวลากว่า 17 ปี ที่ชิลีอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร นับแต่นายพล Augusto Pinochet ได้เถลิงสู่อำนาจโดยการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลมาร์กซิสต์ได้สำเร็จ
ต่อมาในปี 1974 ปิโนเชต์ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเต็มตัว จากนั้นในปี 1980 รัฐธรรมนูญของประเทศฉบับปี 1925 ก็ถูกแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังผลให้ปิโนเชต์ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไปอีกแปดปี
กว่าสิบปีที่ชิลีตกอยู่ใต้เผด็จการทหาร มีประชาชนกว่าพันที่สูญหายหรือเสียชีวิต และอีกกว่าแสนที่ต้องอพยพออกจากประเทศเพื่อหลบลี้ภัยทางการเมือง และดังว่าปิโนเชต์เองก็ไม่ประสงค์จะสละจากบังลังก์แห่งอำนาจ ในปี 1988 รัฐบาลก็ได้จัดให้มีการทำประชามติขึ้น (ด้วยแรงกดดันจากต่างชาติ) เพื่อที่ว่าประชาชนในชาติจะได้ออกเสียงว่ายังจะให้เขาดำรงฐานะประธานาธิบดีต่อหรือไม่ หลังจากที่ปกครองชิลีมากว่า 15 ปี
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝั่งรัฐบาลจะไม่คาดหวังถึงความพ่ายแพ้ของพวกเขา และจะยังคงยึดครองประเทศต่อไปอย่างไม่น่าเป็นทางอื่น เพราะเชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่จะเลือก ‘รับ’ มากกว่า ‘ไม่รับ’ จะขีดเส้นลงไปในช่อง ‘Yes’ มากกว่า ‘No’ หากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับพลิกตาลปัตร เมื่อผลปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 54.7 % เลือกจะไม่เอาปิโนเชต์ ในขณะที่ 43% ยืนยันที่จะให้เขาอยู่ต่อไป
ผลสุดท้าย เมื่อผลคะแนนไม่เป็นไปตามที่หวัง และแม้ปิโนเชต์จะยังคงครองทำเนียบต่ออีกสองปี หากแต่ในปี 1990 เขาก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ถือเป็นสิ้นสุดของช่วงสมัยแห่งเผด็จการทหาร
No หนังเรื่องที่ผมจะพูดถึงในอาทิตย์นี้เล่าเหตุการณ์ระหว่างการทำประชามติของปิโนเชต์นี่แหละครับ
2. หากเทียบกับประเทศซึ่งไม่อนุญาตให้ฝ่ายค้านได้แสดงทัศนคติ เพื่อชี้แจงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นด้วย จะโหวต No หรืออะไรก็ว่ากันไป ชิลีในปี 1988 ยังถือว่ายังจะ ‘พอรับได้’ เสียกว่าในแง่ที่ว่า รัฐบาลได้จัดสรรเวลาทุกๆ เย็นช่วงระยะหนึ่งก่อนวันลงประชามติเพื่อให้ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน ได้มีเวลาฝั่งละสิบห้านาทีชี้แจงเหตุผลและโน้มน้าวให้ประชาชนชิลีเห็นร่วมกับฝั่งตัวเอง ถึงแม้ว่าเหตุแห่งการเปิดพื้นที่ให้ฝั่งตรงข้ามได้แสดงออกนี้จะเกิดจากอาการมั่นใจเกินเหตุของปิโนเชต์ว่าเขาไม่มีวันแพ้ก็ตาม
เรื่องราวของ No เริ่มต้นจากตรงนี้ เมื่อ 16 พรรคฝ่ายค้านได้จ้างวาน Rene Saavedra พ่อม่ายหนุ่มผู้กำกับโฆษณาฝีมือดีให้มาช่วยเป็นหัวแรงสำคัญให้กับแคมเปญโหวตโน สร้างวิดีโอมาสู้กับฝ่ายสนับสนุนเพื่อออกอากาศในช่วงที่รัฐบาลจัดสรรไว้
เมื่ออีกฝ่ายคือรัฐบาลทหารด้วยแล้ว แน่นอนว่าเรื่องไม่ได้ดำเนินไปอย่างง่ายดายนัก อย่างเช่นว่าหัวหน้าบริษัทที่ซาเวดราทำงานอยู่คือผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญ โฆษณาของปิโนเชต์ หรือชีวิตของพ่อม่ายหนุ่มเองก็ยังถูกรังควานอยู่เป็นระยะ กระทั่งว่าถูกข่มขู่ถึงที่พักจากทั้งอันธพาลและทหาร
ความปรารถนาดั้งเดิมของพรรคฝ่ายค้านต่อแคมเปญโหวตโนคือ การตอกย้ำภาพอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นภายใต้ยุคสมัยของปิโนเชต์ เช่น การฉายภาพประชาชนถูกทุบทำร้ายจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือตอกย้ำให้ผู้ชมประจักษ์ถึงอนาคตอันมืดดำหากยินยอมให้รัฐบาลปฏิวัติปกครองต่อไป “เราต้องให้ประชาชนเข้าใจถึงความเลวร้ายของปิโนเชต์” ตัวละครหนึ่งโพล่งขึ้นระหว่างการประชุม หากแต่ซาเวดรากับเห็นเป็นตรงข้าม และไม่เห็นว่าการป้อนวิดีโอที่ฉายซ้ำภาพความรุนแรงของรัฐบาลจะช่วยให้ฝ่ายค้านได้รับชัยชนะได้อย่างไร ด้วยวิธีคิดของนักทำโฆษณา ซาเวดราเสนอว่าแคมเปญโหวตโนจะชนะได้ก็ด้วยการสร้างภาพจำที่สนุกสนาน ฉูดฉาด และเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
3. เป็นเรื่องที่ได้ยินในครั้งแรกก็ยากจะเชื่อว่ากลวิธีซึ่งซาเวดราเสนอจะนำมาซึ่งชัยชนะได้อย่างไร แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว กุญแจสำคัญซึ่งทำให้พ่อม่ายหนุ่มเลือกจะใช้วิธีนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพลักษณ์อันเป็นมิตร ชวนคบหา และน่าเข้าร่วมให้กับฝ่ายค้านนั่นเอง
เสมอมาในเส้นทางของประวัติศาสตร์การเมือง ภาพของฝ่ายค้านมักจะถูกจดจำหรือแต่งแต้มด้วยความก้าวร้าวรุนแรง แต่ซาเวดราไม่ต้องการจะผลิตซ้ำวาทกรรมนี้ให้ปรากฏในแคมเปญโฆษณาของเขา เช่นนั้นสิ่งที่ผู้กำกับหนุ่มสอดแทรกลงไปจึงมีทั้งเพลงป๊อปติดหูที่มีเนื้อหาไม่เอาปิโนเชต์ มุกตลกบนเตียงของคู่รักที่ย้ำเน้นให้โหวตโน รวมถึงการสร้างภาพชวนฝันต่ออนาคตของชีลีที่ปราศจากรัฐบาลทหารว่าน่าอยู่ถึงเพียงไหน
แน่นอนว่าในทีแรกไม่มีใครเห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา แต่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่ความไม่น่าจะเข้าท่าได้นำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครนึกฝัน ส่วนบทสรุปของหนังก็เป็นไปดังที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้นั่นล่ะครับ
4. การทำประชามติซึ่งจะเกิดในพรุ่งนี้แม้จะไม่ได้เป็นไปเพื่อแสดงทัศนะต่ออำนาจของบุคคลหนึ่งอย่างชัดแจ้งดังกรณีของปิโนเชต์ หากทว่าในทางเดียวกันมันก็สะท้อนว่าประชาชนจะให้การยอมรับต่ออำนาจซึ่งไม่ได้เลือกมานี้หรือเปล่า
ใน No นั้น สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือการมีส่วนร่วมของประชาชนชิลีต่อการทำประชามติของปิโนเชต์ไม่ได้มีเพียงแค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ได้กระตือรือร้นแค่ฝ่ายสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน พวกเขาต่างออกมาแสดงความเห็นอย่างกระตือรือร้น และตระหนักในสิทธิและความสำคัญของการออกเสียง แต่ก็แน่นอนล่ะครับว่าเราย่อมไม่อาจยกเอาบทเรียนของชิลีมาเทียบทับกับประเทศเราอย่างพอดี เพราะทั้งเงื่อนไขและความซับซ้อนทางการเมืองของแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกัน
อย่างที่พูดไปข้างต้นว่า อย่างน้อยๆ ชิลีก็ยังเปิดช่องทางให้กับฝ่ายค้านได้สื่อสารกับประชาชน ได้โน้มน้าว และชี้ให้เห็นถึงข้อเสียที่จะเกิดขึ้นหากปิโนเชต์ได้อยู่ต่อ
ต่างกับไทยเราซึ่งกับแค่จะรณรงค์เพียงเล็กน้อย หรือชี้แจงให้ประชาชนได้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการเห็นชอบก็กลับจะโดนอุ้มโดนกักขัง จนความกลัวและความไม่รู้กลายเป็นหมอกควันซึ่งกระจายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ในโมงยามซึ่งฝ่ายหนึ่งมีช่องทางจะโพนทะนาตัวอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่เปิดพื้นที่ให้อีกฝ่ายได้แสดงทัศนะใดๆ เช่นนี้ และในช่วงเวลาที่เสรีภาพที่แค่จะคิด จะพูด หรือจะขยับเคลื่อนไหวไม่มีอยู่จริง จำกัดสิ่งที่ประชาชนทำได้ให้เหลือแค่การชีวิตอยู่และการหายใจ ก็ไม่รู้เลยนะครับว่าเมื่อประชามติได้ผลสรุปออกมา ประเทศจะเดินไปในทางไหนต่อ
ซึ่งอันนี้ก็เป็นกรณีที่ประเทศของเรายังเดินได้อยู่นะครับ…