1.
“จากนี้ไปอีก 3 ปี ยังคงมีงานหนักที่ต้องทำ พวกเราจะต้องฟื้นตัวจากช่วงวิกฤต COVID-19 และประเทศนิวซีแลนด์จะต้องดีกว่าที่เผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้”
17 ตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศนิวซีแลนด์เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร 121 ที่นั่ง (สภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ 120 ที่นั่ง แต่การคำนวณแบบสัดส่วนทำให้มีผู้แทนเกินมา 1 คน) โดยพรรคที่ชนะการเลือกตั้งคือ พรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคที่เป็นรัฐบาลในครั้งก่อน นั่นทำให้หัวหน้าพรรคอย่าง จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 3 ของนิวซีแลนด์ได้เป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างมากต่ออีกสมัยทันที
ผลการเลือกตั้งนั้น พรรคแรงงานกวาด ส.ส.ได้ถึง 64 คนทำให้สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากในระบบการเลือกตั้งของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลนิวซีแลนด์จะเป็นรัฐบาลผสม แต่การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคแรงงานกวาดคะแนนเสียง สามารถจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ แต่พรรคแรงงานก็ยังจับมือกับพรรคกรีนตั้งรัฐบาลผสมเพื่อบริหารประเทศต่อไป
ทั้งนี้เมื่อ 3 ปีก่อน พรรคแรงงานเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เนื่องจากได้คะแนนเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 2 แต่ก็จับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เอียงซ้ายและรักษ์สิ่งแวดล้อมเบียดเอาชนะพรรคฝ่ายขวา ชิงตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
3 ปีที่ผ่านมา จาซินดา อาร์เดิร์นเผชิญกับวิกฤตที่ยากลำบากมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุกราดยิงในมัสยิดมีผู้เสียชีวิต 51 คน วิกฤตภูเขาไฟระเบิดในเกาะไวท์ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ล่าสุดยังเจอกับวิกฤต COVID-19 ระบาด นับเป็นวิกฤตที่หนักหนาสาหัส เท่าที่นักการเมืองจากการเลือกตั้งจะเผชิญไหว แต่เธอก็แก้ไขและพาประเทศชาติก้าวผ่านวิกฤตนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงขนาดที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นำเอาลักษณะการบริหารงานของเธอไปเป็นกรณีศึกษาในเรื่องผู้นำทางการเมือง
และนี่คือเรื่องราวชีวิตของจาซินดาที่หลายประเทศต่างอิจฉาอยากให้เธอมาเป็นผู้นำของประเทศตัวเองมากๆ
2.
จาซินดา อาร์เดิร์นเกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นตำรวจและแม่เป็นกุ๊กในโรงเรียน เธอเกิดในปี ค.ศ.1980 ในครอบครัวนับถือศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน ช่วงวัยเด็กเธอได้เรียนรู้ถึงปัญหาในนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะปัญหาความยากจน กลายเป็นการปลูกฝังมุ่งมั่นในอุดมการณ์ที่เธออยากจะแก้ปัญหานี้
เมื่อเธออายุ 17 ปี ป้าของเธอก็ชักชวนให้เข้าร่วมกับพรรคแรงงาน หลังเห็นว่าในช่วงวัยรุ่นเธอมีท่าทีสนใจในประเด็นสังคม จึงพาเธอเข้าสู่โลกการเมือง โดยจาซินดาเคยเป็นอาสาสมัครไปเคาะประตูตามบ้านเพื่อช่วยพรรคแรงงานหาเสียงด้วย
“ไม่สำคัญว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีหรือแย่ลง เธอยังคงปฏิบัติต่อคุณเหมือนเดิมตลอดเวลา”
นี่คือคำนิยามของจาซินดา ที่ป้าของเธอกล่าวกับนักข่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อหลายปีก่อน
พลันเมื่อจาซินดาเรียนจบมหาวิทยาลัยในคณะการสื่อสารทางการเมืองและประชาสัมพันธ์ ก็ได้ทำงานในฐานะนักวิจัยกับเฮเลน คลาร์ก (Helen Clark) นายกรัฐมนตรีหญิงพรรคแรงงานของนิวซีแลนด์ ก่อนจะข้ามฝั่งไปยังสหราชอาณาจักร เพื่อทำงานให้กับคณะของโทนี่ แบลร์ (Tony Blair) นายกรัฐมนตรีพรรคแรงงานของสหราชอาณาจักรในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจให้แก่ กอร์ดอน บราวน์ (Gordon Brown)
ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า มีท่าทีกรุณาและเน้นแนวทางปฏิบัติ นั่นทำให้เมื่อความเชื่อทางการเมืองปะทะกับความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะเมื่อนิกายมอร์มอนปฏิเสธเรื่องเกย์และการแต่งงานในเพศเดียวกัน เธอตัดสินใจละทิ้งนิกายนี้และประกาศตัวเป็นคนที่ไม่เชื่อในศาสนาทันที
“ฉันไม่สามารถปรองดอง
กับการเลือกปฏิบัติในทางศาสนา
ซึ่งควรจะมีความอดกลั้นและกรุณาในเรื่องเหล่านี้ได้”
หลังทำงานในสหราชอาณาจักรมาสักพัก เธอก็ตัดสินใจกลับมาที่นิวซีแลนด์และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทันที 9 ปีที่เป็นผู้แทน จาซินดามุ่งเน้นแก้ปัญหาความยากจนในเด็ก และในปี ค.ศ.2017 ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 เดือนกว่าๆ ผู้นำพรรคแรงงานตัดสินใจลงจากตำแหน่ง และดันเธอไปเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งแทน
แม้ผลการเลือกตั้งพรรคแรงงานจะได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 2 แต่ในเมื่อไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด และมีคนแห่มาลงคะแนนให้พรรคแรงงานมากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน ทำให้เธอจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ รวมเสียงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้สำเร็จ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยวัยเพียง 37 ปีเท่านั้น
3 เดือนหลังการเลือกตั้งเธอประกาศว่าตั้งท้อง นับเป็นผู้นำคนที่ 2 ของโลกที่ตั้งครรภ์ระหว่างดำรงตำแหน่ง (คนแรกคือ นางเบนาซีร์ บุตโต นายกรัฐมนตรีปากีสถาน) โดยคนรักของเธอเป็นพิธีกรรายการชื่อดัง เมื่อเธอคลอดลูกสาว เธอได้ให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทนในช่วงหนึ่ง ต่อมาเธอกล่าวยกย่องคนรักของเธอที่ได้ทำหน้าที่อยู่เคียงข้างกันเสมอ นอกจากนี้จาซินดายังพาลูกสาวไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ได้รับการจับตาจากคนทั้งโลกอย่างมาก
เวลามีคนชมว่าเป็นหญิงเก่งเข้าขั้นซูเปอร์วูแมน จากการที่เธอเลี้ยงลูกแถมยังต้องบริหารประเทศไปด้วย ทางจาซินดาจะปฏิเสธคำชมนี้ โดยบอกว่าผู้หญิงไม่ควรถูกคาดหวังให้เป็นแบบนั้นแม้แต่น้อย
3.
มีนาคม ค.ศ.2019 เกิดเหตุชายคลั่งผิวขาวก่อการร้ายด้วยการใช้ปืนยิงถล่มคนในมัสยิด ณ เมืองไครท์เชิร์ต มีผู้เสียชีวิตไป 51 ศพ เหตุการณ์นี้เป็นบททดสอบสำคัญของผู้นำทางการเมือง จาซินดาได้เดินทางไปที่มัสยิดแห่งนี้โดยการสวมผ้าคลุมศีรษะ และได้เข้าไปกอดพร้อมพูดคุยกับผู้สูญเสีย การกระทำของเธอได้รับความนิยมยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเธอประกาศจะไม่เอ่ยนามชื่อของมือสังหารให้กับสาธารณชนทราบ
“ฉันขอวิงวอนทุกท่าน ให้พูดชื่อของผู้จากไปมากกว่าชื่อของชายที่เอาชีวิตพวกเขา เขาเป็นผู้ก่อการร้าย เขาเป็นอาชญากร เขาเป็นพวกคลั่ง ดังนั้นเมื่อฉันพูดถึงเขา จะไม่มีการเอ่ยชื่อ”
จาซินดาใช้เวลา 3 วันหลังวิกฤตครั้งนี้ ผลักดันกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยในนิวซีแลนด์มีคนประมาณ 2 แสนกว่าคนที่มีอาวุธปืนล้านกว่ากระบอกที่ไม่ได้ลงทะเบียน วิธีการแก้ไขของเธอมีตั้งแต่ การรับซื้อปืนคืน แบนอาวุธสงคราม ปืนกึ่งออโตเมติค รวมถึงนิรโทษกรรมผู้ครอบครองอาวุธปืน ถือเป็นการแก้ปัญหาเรื่องอาวุธปืนได้อย่างดีเยี่ยม
จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกันเกิดเหตุภูเขาไฟระเบิดที่เกาะไวท์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 คน โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียกับสหรัฐอเมริกา จาซินดาได้นำคณะรัฐมนตรีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตและดำเนินการช่วยเหลือโดยเร่งด่วน
วิกฤตทั้ง 2 ครั้งนี้สร้างความสนใจให้กับคนทั้งโลก ที่ได้เห็นผู้นำที่มีหัวก้าวหน้า และบริการงานภาครัฐได้อย่างเฉียบขาดรวดเร็ว รวมถึงมีความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่หากว่าวิกฤตทั้ง 2 ครั้งนั้นจะดูหนักหนาแล้ว สำหรับจาซินดา มันยังไม่จบเพราะพลันที่ COIVD-19 ระบาดไปทั่วโลก มันได้กลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ นิวซีแลนด์ดำเนินการปิดพรมแดนบังคับใช้มาตรการช่วยเหลือและป้องกันโรคอย่างรวดเร็ว จนคนทั้งโลกถึงกับทึ่ง
ถึงขนาดที่คนอเมริกาเรียกร้อง
อยากได้ผู้นำแบบเธอไปบริหารประเทศอย่างมาก
หลังจากการแก้ปัญหาของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีอเมริกาเป็นไปด้วยความล่าช้าและผิดพลาดจนทำให้สหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจำนวนมหาศาลติดอันดับ 1 ของโลก
ในช่วง COVID-19 ระบาด เธอสั่งล็อกดาวน์ประเทศ ให้คนอยู่บ้าน อนุญาตให้อาชีพไม่กี่ประเภทสามารถทำงานได้และยังลดเงินเดือนตัวเองและคณะรัฐมนตรี 20% เป็นเวลา 6 เดือน ที่สำคัญเธอยังดำเนินการให้สภาผู้แทนราษฎรเลื่อนการเลือกตั้งไป 4 อาทิตย์ เพื่อหวังว่าการโรคจะระบาดน้อยลง อันจะทำให้คนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้มากขึ้น และไม่ต้องกังวลกับโรคนี้
มาตรการล็อกดาวน์ที่รวดเร็ว ทำให้นิวซีแลนด์มีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 น้อยมาก ซึ่งการปิดพรมแดนทันทีนั้น ทำให้นิวซีแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคนและรายได้ส่วนใหญ่อยู่กับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่เพื่อเป็นการปกป้องประชาชนในชาติ จาซินดาก็ต้องทำ
ภายใต้การล็อกดาวน์ นิวซีแลนด์ดำเนินการตรวจ COVID-19 ให้กับประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทำให้พบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แต่กลับมียอดผู้เสียชีวิตต่ำ เพราะสามารถระบุตัวคนติดโรคได้ทัน และป้องกันการลุกลามได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่เธอยืนยันว่าต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นและจะไม่เอ่ยปากขอโทษในการใช้มาตรการเคร่งครัดเพื่อคุมโรคโดยเด็ดขาด
ถึงวันนี้แม้มาตรการหลายอย่างจะผ่อนคลายลง และมีการพบคนติดเชื่อระลอก 2 เพิ่มมากขึ้น แต่การป้องกันที่เตรียมการไว้แล้ว ทำให้นิวซีแลนด์ยังคงรักษาระดับการควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดจนเข้าขั้นวิกฤตเหมือนกับที่หลายประเทศเจอ โดยจาซินดาย้ำว่าเหตุการณ์นี้จะดำเนินการต่อไปอย่างยาวนาน เปรียบเหมือนกับการวิ่งมาราธอนเลย
4.
แนวคิดทางการเมืองของจาซินดานั้นเป็นพวกหัวก้าวหน้า เธอเชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เชื่อในเพศสภาพและสภาพสังคมที่หลากหลายเป็นพหุวัฒนธรรม และเชื่อในรัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ดีเธอโดนวิจารณ์ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนในเด็กได้ดีเท่าที่ควร เพราะยังมีเด็กนิวซีแลนด์กว่า 25% อยู่ในฐานะยากลำบาก นอกจากนี้เธอยังโดนวิจารณ์ว่าแก้ปัญหาคนพื้นเมืองเผ่าเมารีช้าไป เพราะคนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในฐานะยากจนมากกว่าคนนิวซีแลนด์ผิวขาว แม้ฐานะของคนเผ่าเมารีจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่คนก็ยังวิจารณ์ว่าจาซินดายังแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
อย่างไรก็ดีเกจิการเมืองต่างสรุปผลงานของเธอไว้ว่า “ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงและความกลัว คนนิวซีแลนด์ได้รู้ความจริงว่า เธอเป็นคนที่ดีมาก เป็นคนที่ไม่ทำอะไรสุดโต่งสร้างความไม่พอใจให้กับเสียงส่วนน้อยและเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ”
นับเป็นเรื่องน่าอิจฉาคนนิวซีแลนด์เสียจริงๆ ที่มีจาซินดาเป็นนายกรัฐมนตรี
5.
ผลงานในช่วงเวลา 3 ปีของจาซินดาที่ผ่านวิกฤตมาได้อย่างเหลือเชื่อ สร้างความประทับใจให้กับประชาชนนิวซีแลนด์เป็นอย่างยิ่ง ส่งผลต่อชัยชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายของพรรคแรงงาน ทำให้จาซินดาได้เป็นผู้นำสมัยที่ 2 ในวัย 40 ปี
หลังชนะเลือกตั้งเธอปราศรัยขอบคุณผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่ได้ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคแรงงาน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยสนับสนุนพรรคแรงงานมาก่อนและได้กาเลือกพรรคแรงงานนั้น เธอได้ขอบคุณคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จของพรรคแรงงานที่กวาดส.ส.ได้เป็นจำนวนมากในรอบกว่า 50 ปีเลยทีเดียว
เพราะความเป็นผู้นำทางการเมืองที่เลือกจะใช้ความเห็นอกเห็นใจ เชื่อในความหลากหลาย ตั้งหลักรับมือกับวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้นิวซีแลนด์ผ่านความเลวร้ายมาได้ นั่นจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ตามระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้คนตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้กับเธอเป็นผู้นำในอีก 3 ปีต่อจากนี้