ค่ำคืนหนึ่งในต้นเดือนมกราคม อยู่ๆ ก็มีแสงเรืองรองสีเขียวอมฟ้าพาดผ่านเซนเซอร์กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นหลายแห่งทั่วโลก มันโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางหมู่ดาวระยิบระยับราวกับเวทมนตร์ ก่อนที่ต่อมานักดาราศาสตร์ก็ได้ยืนยันว่าแสงประหลาดที่พบเห็นผ่านกล้องนั้นก็คือแสงจาก‘ดาวหางเลมมอน’ (Lemmon Comet) หนึ่งในดาวหางดวงล่าสุดที่นักดาราศาสตร์เพิ่งจะค้นพบ และกำลังจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 21 เดือนตุลาคม ปี 2025 นี้ โดยจะมีความสว่างมากพอที่ตาเปล่าของมนุษย์จะสามารถสังเกตได้
ในสายตาคนทั่วไป การมาเยือนของดาวหางบนท้องฟ้ายามราตรีนั้น อาจถือกันว่าเป็นฤกษ์งามยามดี และเหมาะกับการออกทริปดูดาวสักครั้ง แม้ดาวหางเลมมอนจะมีความสว่างสูงสุดไม่เท่ากับดาวหางฮัลเลย์ที่เคยปรากฏตัวเมื่อปี 1986 ก็ตาม แต่สำหรับนักดาราศาสตร์แล้ว ดาวหางทุกดวงล้วนมีความสำคัญ เพราะเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้มนุษยชาติไขความลับการกำเนิดของระบบสุริยะ และอาจรวมไปถึงที่มาของสิ่งมีชีวิตบนโลกไว้ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง
แล้วดาวหางเลมมอนซ่อนความลับอะไรของระบบสุริยะเอาไว้กันบ้างนะ?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า แท้จริงแล้วดางหางนั้นไม่ใช่ดาวจริงๆ ที่มีหาง แต่เป็นก้อนน้ำแข็งคลุกฝุ่น ที่ก่อกำเนิดมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะพร้อมๆ กันกับโลก โดยการก่อกำเนิดของดาวหางเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าก้อนน้ำแข็งคลุกฝุ่นระเหิดกลายเป็นแก๊ส และได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ระยะประมาณ 500 ล้านกิโลเมตร หรือราวๆ บริเวณวงโคจรของดาวพฤหัส ก็จะเกิดเป็นดาวหางขึ้น
โดยแนวคิดที่ว่าดาวหางเป็นน้ำแข็งคลุกฝุ่น (Dirty Snowball) ได้รับการยืนยันครั้งแรกจากยานอวกาศจีอ็อตโต (Giotto) ขององค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency—ESA) ที่ได้เดินทางไปสำรวจดาวหางฮัลเลย์ในระยะใกล้ เมื่อปี 1986 สวนทางกับความเชื่อในอดีตที่ผู้คนคิดว่าดาวหางเป็นควันไฟที่ลุกโชนจากดวงดาว หรือไม่ก็ว่าเป็นฝุ่นที่หลุดออกมา
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เฟรด วิปเปิล (Fred L. Whipple) ได้สังเกตว่าดาวหางล้วนมีคาบการโคจรที่มีความรีสูงมาก อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ คือดาวหางสามารถเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ได้มากๆ ก่อนที่วนออกไปไกลกว่าวงโคจรของดาวพลูโต ในขณะที่โลกและดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ในรูปแบบที่คล้ายวงกลม ทำให้ระยะห่างจากดวงอาทิตย์มีความสม่ำเสมอตลอดคาบการโคจร ซึ่งการโคจรแบบผิดแปลกนี้ บ่งบอกได้ว่า ดาวหางถูกรบกวนจากวัตถุต่างๆ ในช่วงแรกเริ่มของระบบสุริยะ เมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีที่แล้ว
ในช่วงเวลาดังกล่าว นักดาราศาสตร์ต่างเห็นพ้องตรงกันว่าระบบสุริยะของเราไม่ต่างอะไรไปจากสมรภูมิรบที่ดาวเคราะห์แรกเกิดต่างๆ ซึ่งอาจมีมากถึง 20 ดวง พยายามที่จะแย่งชิงตำแหน่งในการโคจรรอบดวงอาทิตย์จากกันและกัน ไม่เหมือนกับการโคจรที่เป็นระเบียบดั่งนาฬิกาไขลานในปัจจุบัน
และเมื่อดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ อย่างเช่น ดาวพฤหัสบดี หรือดาวเนปจูน มีการเปลี่ยนตำแหน่งการโคจร มันก็จะเหวี่ยงวัตถุเศษเล็กเศษน้อยออกไป บ้างก็พุ่งชนดวงอาทิตย์จนมลายหายไป ไม่ก็ชนเข้ากับดาวเคราะห์ดวงอื่น บ้างก็หลุดออกไปนอกระบบสุริยะตลอดกาล แต่ก็มีวัตถุบางส่วนที่เมื่อถูกดีดออกไปแล้วก็ยังพอวกวนกลับมาโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้อยู่ แม้จะมีคาบการโคจรที่ยาวนานมากก็ตาม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือดาวหางที่ยังคงสภาพของสสารดั้งเดิมไว้ตัวทุกประการ ต่างจากดาวเคราะห์ที่มีการเปลี่ยนตลอดเวลาจากการพุ่งชนของเศษวัตถุต่างๆ ดังนั้นการศึกษาดาวหางจึงเท่ากับการเปิดอ่านบันทึกโบราณของจักรวาลนั่นเอง

ดาวหางเลมมอน ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 2025 โดยระบบกล้องอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อใช้ตรวจจับวัตถุใกล้โลกเพื่อเตือนภัยอุกกาบาต ของหอสังเกตการณ์เมาท์เลมมอน (Mount Lemmon Survey) รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ดาวหางดวงนี้จึงได้รับชื่อเต็มที่ยาวเหยียดว่า C/2025 A6 ตามปีคริสต์ศักราช และกล้องโทรทรรศน์ที่ค้นพบนั่นเอง ทว่าผู้คนก็กลับนิยมเรียกดาวหางดวงนี้ว่า ‘ดาวหางเลมมอน’ ตามชื่อหอสังเกตการณ์แรกที่ค้นพบแบบสั้นๆ มากกว่า
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ดาวหางเลมมอนยังอยู่ห่างจากโลกกว่า 1,000 ล้านกิโลเมตร แต่ด้วยเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศที่ก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณวงโคจรของมันได้แม่นยำ และพบว่ามันเข้าใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 21 เดือนตุลาคม ก่อนที่จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2025 ตามที่กล่าวไปข้างต้น
สิ่งที่ทำให้ดาวหางเลมมอนโดดเด่นก็คือ คาบการโคจรที่ยาวนานกว่า 1,300 ปี หมายความว่าครั้งสุดท้ายที่มันผ่านเข้ามาใกล้โลก มนุษยชาติยังอยู่ในช่วงยุคกลางตอนต้นอยู่เลย ในช่วงเวลานั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้ศึกษาดวงดาวเสียด้วยซ้ำ และครั้งต่อไปที่จะได้เห็นอีกอาจต้องรอไปจนถึงศตวรรษที่ 34 เลยทีเดียว
ดาวหางเลมมอน เป็นดาวหางประเภทที่เรียกว่าดาวหางคาบยาว (Long-Period Comet) ที่ต้องใช้เวลาหลักพันปีในการโคจรกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ไม่เหมือนกับดาวหางคาบสั้นอย่างดาวหางฮัลเลย์ที่ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เพียงแค่ 76 ปี ซึ่งนักดาราศาสตร์ได้ตั้งสมมติฐานว่า ดาวหางนั้นล้วนใช้เวลาส่วนใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า เมฆออร์ต (Oort Cloud) เขตแดนรอบนอกสุดของระบบสุริยะ ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 15 ล้านล้านกิโลเมตรจากดวงอาทิตย์ เปรียบเสมือนสุสานของวัตถุยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะ ที่ประกอบไปด้วยเศษซากน้ำแข็งและฝุ่นมากมาย
ในปี 2011 กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล (Herschel Space Observatory) ได้ตรวจพบว่าน้ำแข็งในดาวหางมีองค์ประกอบของไอโซโทปตรงกับน้ำบนโลก หรือก็คือมีจำนวนนิวตรอนเท่ากันอย่างพอดิบพอดี ซึ่งอาจเป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดที่ว่าน้ำบนโลกอาจมาจากดาวหาง ในยุคที่โลกยังร้อนระอุและปราศจากมหาสมุทร
ทั้งเมื่อพิจารณาในมุมชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology) ดาวหางอย่างเลมมอนก็อาจมีบทบาทในการส่งสารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตมายังโลกได้อีกด้วย เนื่องจากยานโรเซ็ตต้า (Rosetta) ที่เคยเดินทางไปสำรวจดาวหาง 67P/Churyumov–Gerasimenko เคยตรวจพบองค์ประกอบสำคัญของโปรตีนมาก่อน
ส่วนในแง่ของฟิสิกส์ ดาวหางเลมมอนก็ถือว่าเป็นดาวหางที่น่าทึ่งไม่ใช่น้อย จากการที่วงโคจรของมันเป็นวงรีที่ยาวมากเสียจนแทบกลายเป็นเส้นตรงไปแล้ว การคำนวณของ NASA แสดงให้เห็นว่าความเร็วของมันเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อาจสูงถึงกว่า 70 กิโลเมตรต่อวินาที และในช่วงเวลานั้นเองที่แรงดันจากแสงอาทิตย์และลมสุริยะ จะผลักให้ฝุ่นและแก๊สระเหิดกระจายออกจากหัวดาวหาง กลายเป็นหางที่ยาวหลายล้านกิโลเมตร จุดนี้เองที่นักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดองค์ประกอบทางเคมีผ่านสเปกตรัมของแสง ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจทั้งอุณหภูมิและกระบวนการระเหยของวัตถุในอวกาศได้เพิ่มเติมอีกด้วย

ยิ่งในยุคปัจจุบันที่กล้องโทรทรรศน์อย่างเจมส์เวบบ์ (James Webb Space Telescope—JWST) และ Very Large Telescope (VLT) มีความสามารถในการสังเกตวัตถุจางๆ ได้อย่างละเอียด เราก็จะยิ่งเก็บข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยสร้างแบบจำลองของการเกิดดาวเคราะห์ในอดีต มาเป็นข้อมูลอ้างอิงในการเปรียบเทียบกับระบบดาวอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย
เมื่อมองในเชิงเทคโนโลยี ดาวหางเลมมอนยังมีคุณูปการทางอ้อมในการพัฒนาเครื่องมือสังเกตการณ์อวกาศสมัยใหม่ โดยเฉพาะระบบของกล้องโทรทรรศน์อัตโนมัติ ATLAS ที่เป็นหนึ่งในกล้องตัวแรกๆ ที่ยืนยันการค้นพบของดาวหางเลมมอน กล้อง ATLAS ได้รับออกแบบมาเพื่อตรวจจับวัตถุอันตรายใกล้โลก (NEOs) การติดตามดาวหางจึงช่วยทดสอบประสิทธิภาพของอัลกอริทึมและเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายท้องฟ้าแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันภัยจากวัตถุอวกาศที่อาจพุ่งชนโลกในอนาคตได้
จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการศึกษาดาวหางเลมมอนเป็นจุดร่วมของหลายสาขาวิชา ทั้งดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาดาราศาสตร์ ที่ทำให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงของความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างงดงาม
ในอีกแง่หนึ่ง ดาวหางยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตใจของมนุษย์เสมอมา เรียกได้ว่าแม้เราจะมีเทคโนโลยีทันสมัยเพียงใด ความรู้สึกเมื่อได้เห็นดาวหางกลับไม่ได้ต่างจากคนโบราณเท่าไรนัก มันยังคงเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์เมื่อเราได้เห็นแสงสีสวยงามบนท้องฟ้า ดาวหางเดินทางข้ามพันปีเพื่อกลับมาเยือน ขณะที่อารยธรรมมนุษย์เพิ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่กี่รุ่นเท่านั้น
เมื่อแสงของดาวหางเลมมอนจางหายไปจากฟ้า สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คงมีแต่เพียงร่องรอยในความทรงจำ และข้อมูลในคลังของนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษามันอยู่ต่อไป จนกว่าดาวหางเลมมอนจะกลับมาอีกครั้งในอีกพันปีข้างหน้า ในตอนนั้น ใครจะรู้ว่าโลกและมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ดาวหางเลมมอนยังคงเดินทางในเส้นทางของมันต่อไปอย่างเงียบงันตราบนานเท่านาน
อ้างอิงจาก
Ancient Comet Makes Appearance – NASA
The Marshall Star for October 9, 2024 – NASA
The Next Full Moon Will Be the Last of Four Consecutive Supermoons – NASA Science
Ancient Oort Cloud Comet to Make First Documented Pass By Earth in Mid-October – NASA
NASA Michoud Gets a Rare Visitor – NASA
The Marshall Star for October 23, 2024 – NASA
Astronaut captures stunning timelapse of Comet Tsuchinshan-ATLAS from ISS (video) | Space
Comet Tsuchinshan-ATLAS is still visible in the night sky, but not for long | Space
See the ‘comet of the century’ light up the night sky in breathtaking photos | Space
Astrophotographer captures comet Tsuchinshan-ATLAS growing an anti-tail (photos) | Space
รูปภาพจาก