1. หลังๆ มานี้ หนังตระกูล ‘เจ้าหญิงดิสนีย์’ เริ่มจะน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ที่มันค่อยแหกคอกขนบเดิมๆ ที่เคยตีกรอบตัวเองเอาไว้จำพวกที่ว่า เจ้าหญิงต้องคอยให้เจ้าชายมาช่วย หรือสุดท้ายเจ้าหญิงก็จะได้แต่งงานอยู่เสมอ ประหนึ่งว่ารางวัลของชีวิตคือการได้ครองรักเรื่อยไปกับชายในฝัน
แต่เราก็ได้เห็นความตั้งใจของดิสนีย์ที่พยายามทำลายขนบคิดเช่นนี้ทิ้ง เช่นใน Frozen ที่แม้จะมีเรื่อง ราวของเจ้าหญิงอยู่ก็จริง แต่กระนั้นเอลซ่าก็หาได้ถูกนำเสนอด้วยภาพของเจ้าหญิงที่เราคุ้นเคยกันแต่อย่างใด เธอมีปัญหากับสภาวะจิตใจ และเคยผันตัวเข้าสู่ด้านมืด ซึ่งในตอนท้ายก็ไม่ใช่เจ้าชายที่โผเข้ามาช่วย แต่เป็นความรักระหว่างคนในครอบครัวด้วยกันต่างหาก
และแน่นอนว่า Moana แอนิเมชั่นผลงานชิ้นล่าสุดของดิสนีย์เองก็เป็นอีกเรื่องที่ทลายทัศนะต่อเจ้าหญิงแบบเดิมๆ ได้น่าสนทีเดียวครับ
2. Moana เล่าเรื่องของโมอาน่า ธิดาของหัวหน้าเผ่าที่กำลังจะได้ขึ้นเป็นผู้นำแทนบิดาของเธอในเร็ววัน และแม้ว่าตัวเธอนั้นจะโดดเด่นในเชิงผลงาน มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด และเต็มเปี่ยมไปด้วยภาวะของผู้นำ กระนั้นโมอาน่าก็ยังเฝ้าแต่ฝันว่าสักวันเธอจะได้ล่องเรือออกไปนอกเขตปะการัง อาณาเขตต้องห้ามที่บรรพบุรุษของเธอได้สั่งห้ามไว้ ด้วยเพราะมันอันตรายเกินไป และมีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
จนกระทั่งวันหนึ่งที่พืชผลบนเกาะเริ่มจะตาย แปรเปลี่ยนไปเป็นเศษเถ้าที่เพียงจับก็เสื่อมสลายในทันที โมอาน่ารู้ดีว่าเป็นเพราะผลลัพธ์ซึ่งสืบเนื่องมาจากตำนานปรัมปราที่เคยได้ฟังในวัยเด็ก ว่าด้วยเทฟีติ เทวีผู้บันดาลสรรพชีวิตและผืนเกาะ ที่วันหนึ่ง ‘มาวอี’ บุรุษครึ่งคนครึ่งเทพ ได้ขโมยหินวิเศษซึ่งเปรียบประหนึ่งหัวใจของเธอไป เป็นเหตุให้ธรรมชาติเสื่อมสลายนับแต่นั้น ซึ่งทางแก้เดียวก็มีแต่จะต้องนำหินวิเศษที่หายไปกลับไปคืนให้เทฟีติดังเดิม และโมอาน่าก็เชื่อว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่จะชุบชีวิตให้กับแผ่นดินที่กำลังจะตายนี้ได้
3. จุดแรกที่น่าสังเกตในหนังเรื่องนี้คือโมอาน่านั้นไม่ใช่เจ้าหญิงเสียทีเดียว หรือกล่าวให้ถูกคือ โมอาน่าไม่ได้ถือครองสถานะของเจ้าหญิงอย่างที่เราคุ้นเคยกันในหนังดิสนีย์เรื่องก่อนๆ ประการแรกก็เพราะเราได้เห็นการ ‘เลื่อนสถานะ’ ที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่อง เธอได้กลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจเหนือชายและหญิงในหมู่บ้านตั้งแต่แรกเริ่ม มิใช่ดำรงสถานะของเจ้าหญิงตลอดเรื่อง แล้วถึงจะได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ปกครองในตอนท้าย
ดิสนีย์ใช้ช่วงเวลาตรงนี้เองที่พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าในด้านของการเป็นผู้นำนั้น ทักษะของโมอาน่าถือว่าสอบผ่านและสามารถเป็นหัวหน้าเผ่าที่แกร่งกล้าสามารถได้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย การได้รับความไว้วางใจจากบิดาให้รับช่วงต่อภาระงานของเขาก็เป็นไปด้วยความไว้วางใจและศรัทธา และไม่เคยจะถูกตัดสินด้วยทัศนคติว่า ‘เพราะเธอเป็นผู้หญิง เธอจึงทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้’ พูดได้ว่า ทุกคนต่างเห็นพ้องอย่างไม่มีข้อสงสัยที่จะให้เด็กสาวขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกเขา และทั้งเห็นชอบต่อการตัดสินใจของเธอโดยไม่คิดคัดค้านจากข้ออ้างเรื่องวัยวุฒิ หรือเพศสภาพ
4. แต่ประเด็นหลักของ Moana จริงๆ แล้วคือเรื่องของการหลงลืมตัวตนครับ เมื่อหนังเปิดเผยให้เราได้รู้ว่าบรรพบุรุษของโมอาน่านั้นไม่ใช่ชาวเกาะที่กักขังตัวเองอยู่บนเกาะเกาะเดียว แต่พวกเขาเป็นลูกแห่งท้องทะเลโดยแท้จริงที่ออกเดินทางท่องมหาสมุทรเรื่อยไป และไม่หวาดกลัวต่อคลื่นลมใดๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็ถูกหลงลืม เมื่อลูกๆ หลานๆ ได้หันมาปักหลักอยู่กับที่ และล้มเลิกการออกทะเลไปในที่สุด
การเลือกแหกกฎของโมอาน่านั้น แม้ในทางหนึ่งจะถือเป็นการขัดต่อวิถีปฏิบัติในปัจจุบัน แต่ในทางกลับกันมันก็เท่ากับการนำอดีตกลับมาชำระอีกครั้ง เพื่อจะยืนยันว่าความขลาดกลัวต่อท้องทะเลเป็นเพียงแค่ความกลัวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในฐานะกลไกที่จะกำกับสังคมไว้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ตลอดไป
เมื่อโมอาน่าได้รู้ถึงความจริงนี้ เธอจึงไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าเหตุใดเธอถึงคอยแต่ถวิลหาการผจญภัยในท้องทะเล
5. แต่ไม่เพียงโมอาน่าเท่านั้นที่หลงลืมตัวตนในอดีต ทาฟีติ เทวีผู้บันดาลสรรพชีวิตเองก็เช่นกัน เมื่อในตอนท้ายเราได้รู้ว่าอสูรยักษ์ซึ่งคอยขวางกั้นโมอาน่าและมาวอีจากการนำหินไปคืนทาฟีตินั้น แท้จริงแล้วคือตัวทาฟีติเองที่หลงลืมตัวตนของเธอไป เธอได้กลายเป็นปิศาจไร้ใบหน้าที่ไม่มีใครรู้เลยว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นมารดาแห่งผืนภิภพ
จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือภาพของอสูรร้ายถูกนำเสนอออกมาด้วยภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายกับเพศชาย ซึ่งโดยไม่รู้ตัวเราเองก็เชื่อไปแล้วว่าการต่อสู้กันระหว่างมาวอีกับอสูรร้ายตัวนี้คือการปะทะกันระหว่างอำนาจของเพศชายที่มีพลังทัดเทียมกัน และจนเมื่อมาวอีพ่ายแพ้ และเรื่องราวเปิดเผยออกมาว่าในร่างของอสูรนั้นคือทาฟีติ มารดาผู้สร้างโลก เราถึงได้ตระหนักว่า ผู้ที่ถือครองอำนาจทั้งหมดทั้งมวลในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกเริ่มแล้วต่างหาก มันจึงน่าสนใจว่าสิ่งที่หนังนำเสนอไม่ใช่การยื้อยึดอำนาจระหว่างเพศ เพราะหากตัวละครเพศชายคือตัวปัญหา ตัวละครเพศหญิงจึงคือตัวแทนของความความพยายามหาข้อตกลงร่วมที่จะช่วยประคับประคองให้สังคมดำรงอยู่ได้