ก่อนอื่นใด ขอสดุดี ป้าเป้า วีรสตรีประชาธิปไตย เธอออกมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวหลายครั้งไม่ว่าจะงานไหน ๆ อุทิศทั้งตัวและใจเพื่อประชาธิปไตย บางครั้งนอนแหกขาด่าเจ้าหน้าที่บ้าง ถลกผ้าใส่ตำรวจบ้างเพื่อประท้วงอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม ออกมาประท้วงศาลที่ไม่สถิตยุติธรรมก็โดนตำรวจจับไปกลางดึกกลางดื่น ล่าสุดเข้าไปปกป้องเด็กที่ถูกคฝ.ลุมทำร้ายลักพาตัว ก็โดนคฝ.ผลักจนล้ม แถมล็อกตัวลากไปคุมขัง โดนยัดข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานโดยมีหรือใช้อาวุธ และสิ่งเทียมอาวุธ ทั้งๆ ที่ป้าแกบอกว่า “กูมีแต่หีกับแตด!!!”
แต่หีกับแตดของคุณป้าท่านนึงจะกลายเป็นอาวุธได้ขนาดนั้นได้เชียวหรือ
แม้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเปลี่ยนรูปแบบการประท้วงทางการเมือง แต่การเดินถนนอันเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเก่าแก่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ และประชาชนก็ยังคงใช้ร่างกายของตนในการประท้วงต่อสู้ การเปิดร่างกายเนื้อหนังมังสาก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ผ้าถลกผ้าโชว์ของลับก็แสดงความเข้มแข็งทางการเมืองและอารมณ์ของประชาชน มีคุณค่าความหมายและทรงพลัง
เนื่องจากการประกาศแสนยานุภาพอำนาจแข็งแกร่งและความมั่นคงของรัฐ มันไม่ได้อยู่ที่การครอบครองอาวุธยุทโธปกรณ์หรือแม้แต่เรือดำน้ำเพื่อปกป้องอธิปไตยของรัฐ หากแต่เป็นการกระทำความรุนแรงบนเนื้อตัวร่างกายและชีวิตของประชาชน ภาพอำนาจรัฐที่เราพบเห็นบ่อยครั้งจึงเป็นกองกำลังอาวุธพร้อมสรรพเพื่อรัฐประหารล้มสิทธิเสรีภาพประชาชน และตำรวจคฝ.ในหมวกกันน็อค เสื้อเกราะ ชุดเวสรองเท้าคอมแบท หน้ากากกันแก๊ส มาเป็นฝูง พร้อมกระบอง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา บุกเข้าทำร้ายประชาชนได้ตามอำเภอใจ
เมื่อเจ้าหน้าที่มาพร้อมสรรพขนาดนั้น พร้อมกับความมั่นใจว่าคนไม่มีอาวุธย่อมสู้ไม่ได้ แต่การที่ประชาชนตัวเปล่าออกมาต่อสู้ และเมื่อพวกเขาหรือเธอเปิดเปลือยร่างกาย ไม่มีเครื่องแบบไว้อวดเบ่ง ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัวคุณภาพสูงเข้าสู้ จึงเป็นการล้มความมั่นใจความมั่นคงของกองกำลัง ลดทอนอำนาจของฝั่งติดอาวุธ ที่กีและดาก รวมทั้งนมต้มก็เข้าสู้ได้ เหมือนที่ป้าเป้ากล่าว “กูมีแต่หีกับแตด”
ประชาชนล่อนจ้อนมือเปล่าประท้วงก็เป็นการประกาศกร้าวว่า กูไม่กลัวความเสี่ยงที่จะออกไปประท้วงตามถนน ไม่กลัวอาวุธยุทโธปกรณ์ การจับกุมกักขังซ้อมทำร้ายร่างกาย หรือพูดตรงๆ ตอกหน้าดังๆ ไปว่า “กูไม่กลัวมึง”
ร่างกายเปล่าๆ ของประชาชนจึงเป็นสาระสำคัญ
ที่สร้างและแสดงออกถึงอุดมการณ์ทางการเมือง
ตอกย้ำถึงข้อจำกัดเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง สิทธิพลเมืองที่อาศัยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ ที่ใช้กำลังอาวุธปราบปรามอย่างเปิดเผยและหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุข การแพร่ของโรคระบาด กดและลดคุณค่าความเป็นคนประชาชน จนประชาชนต้องใช้ร่างกายและอวัยวะอื่นเป็นทางออกและกลยุทธ์แสดงเสียงทางการเมือง แม้ว่ารัฐเผด็จการพยายามที่จะครอบงำและควบคุมพื้นที่สาธารณะ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งวิธีการสร้างสรรค์เพื่อทำลายการครอบงำกดขี่ แต่ไอ้ความความเปราะบางของร่างกายที่เปลือยเปล่านี่แหละ ยังแสดงถึงความไม่เท่าเทียมของการต่อสู้ทางการเมือง ที่ร่างกายฝั่งตรงข้ามมีทั้งเครื่องแบบและติดอาวุธชุดเกราะ หน้ากากกันแก็สน้ำตา โล่ รถน้ำ
ประชาชนมือเปล่าไปจนถึงร่างกายเปลือยเปล่าจึงลดศักดิ์ศรี เกียรติยศของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่สามารถกอบกู้ได้
และเมื่อรัฐพรากชีวิต ความอยู่ดีกินดีและอนาคตไป ประชาชนก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีก “กูมีแต่หีกับแตด” และร่างกายที่ล่อนจ้อนประท้วงจึงยืนยันความเป็นคน ไปพร้อมกับสั่งสอนเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาสลายการชุมนุมว่า เราต่างก็ยังเป็นคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีร่างกายเนื้อหนังมังสาเหมือนกัน กูก็มีเหมือนมึง กูก็มีเหมือนของแม่มึง เมียมึง ลูกสาวมึง โดยเฉพาะนักประท้วงหญิงที่ใช้นมต้ม จิ๋ม และตูด
การที่ผู้หญิงคนนึงเปิดแหกกี เปิดก้นใส่คฝ.ยิ่งในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นในพื้นที่สาธารณะ มันจึงไม่ใช่เพื่อกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นการแสดงความแข็งแกร่ง ที่ทั้งท้าทายอำนาจของรัฐและระเบียบทางเพศ ว่ารัฐไม่สามารถสั่งสอนหรือควบคุมปกครองร่างกายพลเมืองได้ ไม่ยอมเป็นร่างกายที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวสยบยอมอย่างเชื่องๆ ที่รัฐแบบ male state มักควบคุมร่างกายประชาชนหญิงมากกว่าชาย นิยามการจับอาวุยุทโธปกรณ์ การรักษาสถาบันความมั่นคง ความก้าวร้าวดุดันอำมหิตเชื่อมโยงกับ ‘ความเป็นชาย’
ต่อให้ตำรวจ คฝ. จะเป็นผู้หญิงแต่นางก็ถือได้ว่านางตอนตัวเองไปอยู่ในระบบผู้ชาย สมาทาน toxic masculinity ไปแล้ว จนไม่อาจเรียกได้ว่าพวกนางเป็นผู้หญิง ต่อให้พวกนางจะมีมดลูก รังไข่ โครโมโซม xx ก็ตาม ขณะเดียวกันเผลอๆ เราไม่อาจเรียกได้ว่าพวกนั้นเป็นประชาชนด้วยซ้ำ เพราะพวกนั้นได้ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเองให้เหลือแค่กลไกหนึ่งเครื่องมือหนึ่งของรัฐบาลฆาตรกร ที่พร้อมจะเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนอย่างบ้าเลือด ซ้ำร้ายยังขู่อาฆาต แล้วแสดงท่าทีเยอะเย้ยถากถางประชาชนหลังจากไล่ต้อนไล่ตีประชาชนสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การเปิดนม แหกกีแหกดากให้ดูอาจจะผิดศีลธรรมและบรรทัดฐานทางสังคมบางประการ แต่เมื่อเทียบกับการกระทำของฝั่งตรงข้ามแล้ว เทียบกันไม่ติดหรอก แต่ถ้ามัวแต่ตำหนิว่ากล่าวสั่งสอนประชาชนที่ถลกผ้าสู้ รวมไปถึงเครื่องด่าที่พรั่งพรูผรุสวาทออกมาระหว่างเปลือยกาย มันก็ออกจะดัดจริต ไขสือไปสักหน่อย เสแสร้งไม่สนสี่สดแปดกับบริบทใดๆ ว่าฝั่งรัฐอันป่าเถื่อนกำลังทำอะไรกับประชาชนมือเปล่าไว้บ้าง
มากไปกว่านั้น การเปลื้องผ้าโชว์ของลับประท้วง
ก็เป็นวิธีการประท้วงทางการเมืองของสากลโลก
ไม่ว่าบริบทการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใด ตั้งแต่สมัยก่อนอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าสังคมวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นมีบริบทแบบใด
ในปี ค.ศ.1991 People for the Ethical Treatment of Animals (PETA) ได้ร่วมกับ Go-Gos ทำแคมเปญ “I’d Rather Go Naked Than Wear Fur” ให้ดาราดังเปลื้องผ้าเพื่อปลุกจิตสำนึกไม่ใช้เฟอร์ขนสัตว์ ที่เป็นการปฏิบัติอันโหดร้ายฆ่าสัตว์เพื่อเครื่องแต่งกาย
ขณะที่สโลแกนต่อต้านสงครามเวียดนามของอเมริกาในทศวรรษ ค.ศ.1960 “make love not war” ผู้ประท้วงหญิงมีแนวโน้มที่จะใช้ร่างกายของพวกเธอเชื้อเชิญยุติสงคราม โดยใช้เรื่องเพศเบี่ยงเบนความสนใจและปลดอาวุธ นำเสนอ ‘ความรัก’ (ที่ขยายความหมายไปยัง ‘เรื่องเพศ’) ที่ความรักกับสงครามเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสุดโต่ง จนทำให้สโลแกนถูกใช้ในการต้านสงครามความรุนแรงอื่นๆ ทั่วโลก
รวมไปถึงภาพวาดของ Eugène Delacroix รูป La Liberté guidant le peuple หรือ Liberty Leading the People เพื่อรำลึกถึง July Revolution ในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1830 โค่นล้มกษัตริย์ชาร์ลที่ 10 นั้น ศิลปินได้บุคลาธิษฐานให้ Liberty เป็นหญิงสาวสวย สวมหมวกแบบ Phrygian ที่เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพการปลดปล่อยทาสในยุคกรีกโรมัน มือในมือถือปืนคาบศิลา อีกมือถือธงไตรรงค์แห่งการปฏิวัติ (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นธงประจำชาติฝรั่งเศส) เดินนำเหล่านักปฏิวัติชาย ที่สำคัญเธอเปลือยหน้าอก
เอาเป็นว่า ป้าเป้าล้ำกว่า ป้าแกถลกกระโปรงด้วยจ้าาาาา
และในปี ค.ศ.2015 กลุ่มผู้หญิงสูงอายุในเมืองอาปา (Apaa) ทางตอนเหนือของยูกันดา ก็ประท้วงเปลือยกาย แม้ว่าการแก้ผ้าจะเป็นสิ่งที่ต้องห้ามทางวัฒนธรรม และนอนกลิ้งไปบนพื้นยกขาแหก คร่ำครวญสาปแช่งต่อหน้ารัฐมนตรี 2 คน ทหาร ตำรวจติดอาวุธ และผู้คนหลายร้อย เพื่อการประท้วงต่อต้านการไล่ที่บังคับให้ชาวบ้านต้องพลัดถิ่น ในข้อพิพาทเรื่องที่ดินที่ระหว่างเจ้าหน้าที่และชุมชนท้องถิ่น ที่ยาวนานเป็น 10 ปี หน่วยงานด้านสัตว์ป่า Uganda Wildlife Authority อ้างว่าชาวบ้านหลายพันคนกำลังรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวน ทั้งที่นั่นเป็นดินแดนบรรพชนของพวกเขา และอันที่จริงรัฐต้องการไล่ชาวบ้านเพราะต้องการเอาพื้นที่นั้นไปทำอย่างอื่นเพื่อกอบโกยผลประโยชน์
1 ในหญิงผู้ประท้วงต้องแบกรับความเจ็บปวดอย่างมาก เธอกล่าวว่า เธอไม่เหลืออะไรนอกจากแพะ 8 ตัว ลูกชายเธอถูกยิงตาย แล้วยังจะไล่เธออกจากดินแดนบรรพชนของเธออีก ผู้หญิงอีกคนบอกว่าลูกชายของเธอตายหลังจากถูกทุบตี เธอต้องปกป้องพื้นที่ของเธอ
การแก้ผ้าแหกกีในครั้งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐพวกนั้นเผ่นแน่บไปเลย เพราะตามความเชื่อท้องถิ่น เมื่อผู้สูงอายุ เปลือยหน้าอกหรืออวัยวะเพศ ชี้ไปยังบุคคลที่กระทำความผิด ออกคำสาปด้วยวาจา มันเป็นคำสาปที่เลวร้ายที่สุด
การที่ผู้ประท้วงหญิงเปิดอวัยวะแสดงเพศ ไม่ว่าจะจิ๋มหรือนม มันมีพลังเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในสังคมที่มักจัดวางให้ผู้หญิงมีฐานะ ‘ภรรยา’ หรือ ‘แม่’ ของชุมชน เป็นเพศที่ควรได้รับการปกป้องดูแล แต่ครั้นที่เมื่อ ‘ความเป็นเพศ’ และสัญลักษณ์แสดงเพศของผู้หญิงมาเผชิญหน้ากับร่างกายติดอาวุธที่โหดร้ายของทหารตำรวจ มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์อันแข็งแกร่งไม่เปราะบาง ที่กำลังตอบโต้ปะทะไปจนถึงอบรมสั่งสอนอำนาจนำของ ‘ความเป็นชาย’ ที่กำลังเป็น toxic masculinity
ขณะเดียวกันการเปลื้องผ้าก็เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดของการใช้เสียงทางการเมือง และนั่นก็คือความจริงที่เจ็บปวด
และนี่ก็ขอสื่อสารกับคฝ.ตรงๆ เลยนะ ระหว่างรอเบี้ยเลี้ยงก็อ่านซะ ไอ้การเอาสภาวะอัดอั้นโกรธแค้นที่ถูกนายขูดรีดกดขี่ มาปลดปล่อยลงกับประชาชน และโทษว่าที่ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นเพราะผู้ชุมนุม ขลาดกลัวไม่กล้าหาญจะสู้กับโครงสร้างที่กดขี่ตนเองอยู่ แต่กลับมาทำร้ายคนมือเปล่าที่ลุกขึ้นสู้รื้อถอนโครงสร้างกดขี่นั้นแทน มันคือความเปล่าประโยชน์ของอาชีพ ความสูญเปล่าของการฝึกซ้อม ลดตัวเองให้กลายเป็นเพียงผลผลิตของรัฐอันเปราะบาง อ่อนแออ่อนไหวแตกง่าย จนป้าวัย 67 เพียงคนเดียวที่ “มีแต่หีกับแตด” ก็กลายเป็นบุคคลมีอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธ สามารถทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานได้
อ่านเพิ่มเติม