ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากท่านนายกตู่จะไปเยือนสหราชอาณาจักร เข้าพบกับเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของประเทศเค้า อันนำมาสู่วลี (หรือเสียงอุดอู้?) ที่โด่งดังไปทั่วประเทศอย่าง “อื้อหือ เยส อื้อฮือ เยส เยส แท้งกิ้ว อื้อฮื้อ อื้อฮื้อ แทงกิ้ว ชัวร์” อันมาจากท่าทีที่ไม่น่ารักและไม่สุภาพนักในทางการทูตระหว่างเข้าพบป้าเมย์นายกฯ ของสหราชอาณาจักรแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ดูจะโดดเด่นไม่แพ้กันครับ นั่นคือ นายกตู่ของเรานี่เองได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์ปกเอเชียกันเลยทีเดียว โดยมีข้อความประกอบรูปลุงแกว่า “Democrat. Dictator. Which path will Thailand’s Prayuth Chan-ocha choose?” (ตามรูปครับ)
การได้ภาพสวยๆ ขึ้นปกนิตยสารที่ดังที่สุดปกหนึ่งของโลกนั้นย่อมเป็นที่สนใจแน่นอนครับ โดยเฉพาะส่วนเนื้อหาที่ว่ากันว่าเปิดเผยว่าลุงตู่แกคิดแล้วคิดอีกตั้ง 6 เดือนก่อนทำรัฐประหาร (คิดนานขนาดนั้น ยังคิดไม่ออกนะครับว่าไม่ควรทำ มิน่าเป็นนายกมาสี่ปีถึงแทบจะฉิบหายกันทุกหย่อมหญ้า – ใช่ครับ ผมไม่เป็นกลาง และใช่ครับผมไม่ชอบลุงแก และผมก็ยืนยันด้วยว่าเป็นสิทธิที่ทำได้) รวมถึงเนื้อหาที่มีการเปรียบเทียบว่าลุงแกเป็น ‘สฤษดิ์น้อย’ หรือก็คือจอมพลสฤษดิ์เบอร์สองนั่นแหละครับ อย่างไรก็ดี ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักนะครับ เพราะพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด ท่านโฆษกขาประจำของสำนักนายกบ้านเราถึงกับออกมาประกาศว่า “การได้ขึ้นหน้าปกนิตยสารไทม์นี้ เป็นหนึ่งในสัญญานว่าทั่วโลกยอมรับ” (ร่วมกับการได้ไปเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ)[1]
อย่างไรก็ตาม (หากใช้มาตรฐานแบบที่ท่านโฆษกเค้าว่ามา) เราก็คงต้องไม่ลืมว่าก่อนที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้น เราก็ไปเยือนต่างชาติได้อย่างเป็นทางการมาโดยตลอด เป็นที่ยอมรับมาโดยตลอดนะครับ การเข้ามาบริหารประเทศของพวกท่านๆ เองนี่แหละคือบ่อเกิดของการที่เขาไม่ยอมรับเราเลย รวมไปถึง หากนับการได้ขึ้นปกไทม์ เป็นหนึ่งในเกณฑ์การได้รับการยอมรับในระดับสากลแบบหนึ่ง นักการเมืองไทยหลายคน (โดยเฉพาะคนที่ลุงตู่ดูจะตั้งป้อมให้เป็นศัตรูเหลือเกิน) นั้น ก็ได้ขึ้นปกมาไม่น้อยแล้วนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ารูปที่ถ่ายให้ลุงตู่ดูดีสุด ลุงน่าจะเอาไปใช้เป็นรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กนะครัช (ตามรูป)
อย่างไรก็ดี ความน่าฉงนไม่ได้อยู่ที่อะไรพวกนี้ครับ มันอยู่ที่การที่ท่านโฆษกไก่อูออกมาบอกว่าการได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์นั้นเป็นสัญญานการได้รับการยอมรับจากต่างชาติ แต่พร้อมๆ กันไปกลับมีคำสั่งห้ามขายนิตยสารไทม์ปกนี้ในประเทศไทย! อ้าว จะเอายังไงกันแน่เนี่ย? และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะครับ รัฐบาลทหารนี้ดูจะมีข้ออ้างลักษณะนี้เยอะทีเดียว เช่น เฮลิคอปเตอร์บินไม่ขึ้น แต่มีคุณภาพดี (หือ!!!!) GT200เป็นของปลอม แต่ได้ใช้แล้วรู้สึกสบายใจกว่า (ห้ะ!!!!!) ไปจนถึงรัฐประหารมาแต่บอกเป็นประชาธิปไตย 99.99% (หืมมมมมม!?)
ผมเลยคิดว่าต้องลองหาคำตอบให้กับลักษณะความคิดแบบนี้แล้วแหละว่า อะไรที่ทำให้คนๆ เดียวกัน หรือคนกลุ่มเดียวกันดูจะเสนออะไรที่มันพิลึกพิลั่นปานนี้ได้ในสายตาคนโดยรวม? ผมอยากบอกอย่างนี้ครับว่า อาจจะเป็นพวกเรา (เรา = คนที่งงกับท่านๆ ทหารเหล่านี้) เองนี่แหละครับที่ฉลาดไม่พอ ไม่มีความเข้าใจหลักปรัชญาอย่างทั่วถ้วนพอ เพราะพวกท่านคณะรัฐบาลทหารนี้ อาจจะเป็นผู้สมาทานความคิดแบบที่เรียกว่า Nondualism ระดับสูงก็ได้ครับ
Nondualism คืออะไร?
แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของปรัชญาที่พบทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกครับ แต่คำว่า Nondualism นั้น เชื่อกันว่ามาจากคำสอนในคำภีร์เวทานตะของลัทธิอไทวตะเวทานตะ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยอาทิ ศังกระ หรือศังกราจารย์ โดยหลักๆ แล้ว แนวคิดนี้วางฐานอยู่ที่การทำความเข้าใจต่อ ‘ตัวตน และสถานะของตัวเรากับสังคมที่รายรอบอยู่’ ว่าไม่ได้ได้มีสถานะที่เป็นสองฝ่าย หรือไม่ได้อยู่เป็นคู่ ฉะนั้นแนวคิดแบบ Nondualism หากสรุปแบบงวดที่สุดแล้ว คงพูดได้ว่าเป็น ‘การเป็นตัวตนหนึ่งเดียวชนิดที่ไม่อาจแบ่งเป็นสองได้’ เพราะฉะนั้นภายใต้ฐานคิดแบบนี้จึงไม่มีความเป็น ‘เรา-ผู้อื่น’ (Self and Other) ขึ้น เป็นสถานะของการไม่แยกขั้ว (without dichotomy) นั่นเองครับ
นอกจากในลัทธิอไทวตะเวทานตะแล้ว แนวคิดแบบเดียวกันนี้ยังพบได้ทั้งในศาสนาฮินดู พุทธ เต๋า คริสต์ และกระทั่งกรีกโบราณเลยด้วย แต่เพราะพบได้ในสารพัดที่นี้เอง เลยส่งผลให้มันมีนิยามที่แตกต่างหลากหลายกันมากๆ ในเชิงรายละเอียด ตามแต่ว่ากำลังพูดอยู่บนฐานของสำนักคิดหรือศาสนาใด อย่างไรก็ดีความหมายที่เป็นแก่นหลักๆ ก็พอจะอธิบายได้ตามที่ Jeff Foster หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ (และสมาทาน) ความคิดสายนี้ได้อธิบายไว้ว่า แนวคิดแบบ Nondualism นั้นมันพุ่งเป้าไปที่การไปสู่ความเต็มพร้อม (Oneness/Wholeness/Completeness) สูงสุดหนึ่งเดียวของชีวิต ซึ่งความเต็มพร้อมที่ว่านี้มันคือพื้นที่เปิดกว้างของความรับรู้ที่ไม่มีการแบ่งแยกใดๆ และมันรวมเอาทุกสิ่งไว้ในนั้น รวมถึงเราด้วย[2]
หากพูดโดยสรุปที่สุดและหยาบที่สุดแล้ว ก็อาจจะบอกได้ว่าแนวคิดแบบ Nondualism นี้ คือวิธีคิดที่อยู่ตรงข้ามการคิดแบบขั้วตรงข้ามหรือ Binary Opposition ที่เชื่อว่าตัวตนของสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้จากความต่าง และการมีอยู่ของสิ่งที่มันตรงกันข้ามกัน หรือไม่เหมือนกันเราจึงจะรับรู้ถึงมันได้ (ฉะนั้นความตรงกันข้ามในที่นี้ไม่ได้จำเป็นจำต้องขัดแย้งกัน แต่เป็นคู่ที่กำหนดให้เห็นถึงความต่าง เพื่อทำให้การรับรู้ถึงอีกสิ่งหนึ่งที่คู่กับมันเกิดขึ้นได้) เช่น มืดกับสว่าง ที่หากเกิดมาบนโลกแล้วไม่มีช่วงเวลาที่มืดเลย สว่างตลอด เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกสภาพที่มีแสงว่า ‘สว่าง’ เพราะมันไม่จำเป็นต้องเรียก มันไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งแยกตัวตนจำเพาะให้เกิดการรับรู้ที่บ่งตัวตนของความ ‘สว่าง’ ขึ้นมา เมื่อมีแสงโดยตลอดโดยไร้ซึ่งความแตกต่างใดๆ ตัวตนของคำว่าสว่างก็ไม่จำเป็น
ทำนองเดียวกันกับคำว่า พ่อและแม่ ที่ถ้าหากไม่มีแม่ก็ไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อก็ไม่มีแม่ ไม่ใช่ในความหมายโรแมนติก (และพร้อมๆ กันไปจะเห็นได้ว่าเป็นคู่ตรงข้ามที่ไม่ได้แปลว่าขัดแย้งกัน) แต่เพราะว่าหากโลกเราไม่มีตัวตนของแม่ คือ มีแต่ผู้ชายหมดเลย และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการอื่นใดไป เราอย่างมากก็จะรับรู้แต่ว่าใครคือผู้ให้กำเนิดเรามา (จะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่) แต่เราจะไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งออกเป็น ‘พ่อและแม่’ อีก เพราะมันไม่มีความต่างให้ต้องแยกหรือบ่งตัวตนออกมาเป็นการเฉพาะว่านี่คือแม่และนี่คือพ่อ
การอยู่ในวิธีคิดแบบขั้วตรงข้ามนี้เอง ที่ในระดับหนึ่งมันทำให้เราสามารถมีความเห็นในเชิงตัดสิน (Judgmental) ได้ เพราะ เมื่อมันมีความต่าง แปลว่ามันมีลักษณะจำเพาะที่บ่งบอกความเป็นมัน และนั่นหมายความว่าเราสามารถกำหนดบทบาทหรือฟังก์ชั่นของตัวตนจำเพาะนั้นๆ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงรับรู้ได้ถึงความต่างว่า มันมีดีมีเลว มีกลไกที่ไปด้วยกันและไม่ไปด้วยกัน ตัวตนนี้มันมีฟังก์ชั่นแบบนั้น บทบาทแบบนี้ เป็นต้น อย่างเฮลิคอปเตอร์ที่มันมีตัวตนที่แยกออกมาจากรถยนต์ รถถัง เครื่องบิน เรือ ฯลฯ ด้วยรูปลักษณ์ กลไกการทำงาน วัตถุประสงค์ต่างๆ ของมัน แน่นอนว่าบทบาทหนึ่งของมันคือ ‘การต้องบิน’ หากมันบินไม่ได้ ก็แปลว่ามันไม่สามารถทำตามกลไกหรือบทบาทของมันได้ ก็แปลว่า ‘มันไม่ดี มันห่วย’ การมีความคิดในเชิงตัดสินว่า ดีไม่ดี ใช่ไม่ใช่ ต่างๆ นี้เองจึงเป็นผลผลิตต่อเนื่องของวิธีคิดแบบขั้วตรงข้ามด้วย
แต่วิธีคิดแบบ Nondualism ที่พี่ๆ ทหารดูจะใช้งานกันอย่างช่ำชองนี้เองมันเป็นการทำลายความต่างของตัวตน และฐานคิดแบบขั้วตรงข้ามหมด ทุกสิ่งคือหนึ่งเดียวและหนึ่งเดียวคือทุกสิ่ง การจะไปกำหนดกลไกและบทบาทให้กับแต่ละตัวตนที่จำเพาะแตกต่างก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่มีความต่าง มันกองรวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด ทุกความเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเฮลิคอปเตอร์ที่บินไม่ได้ ก็นับว่าเป็นของมีคุณภาพได้ GT200 ทำมั่วๆ ปลอมๆ มา ก็ใช้แล้วอุ่นใจได้ รัฐประหารล้มรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยมา ก็สามารถเป็นประชาธิปไตย 99.99% ได้
และแน่นอนว่าการขึ้นปกนิตยสารไทม์ที่แปลว่าโลกกำลังชื่นชมและยอมรับนั้น ก็สามารถถูกสั่งห้ามจำหน่ายไปพร้อมๆ กันได้
นี่ต่างหากครับ ความคิดที่ไม่ตกอยู่ในกับดักขั้วตรงข้ามที่แท้ทรู การเมืองของความสมานทฉันท์ ไม่แบ่งขั้ว ไม่เหลืองแดง ไม่แบ่งดีเลว เพราะความเป็นไปได้ทุกอย่าง ตัวตนทุกอย่างไปกองรวมกันหมดแล้ว เป็นหนึ่งเดียวในตัวตนเดียวกัน จะบ้าบอเลอะเทอะอย่างไรแล้วจะบอกว่านี่คือของที่ดีก็ย่อมได้ นี่แหละครับวิธีคิดอันแสนจะลึกซึ้งของพวกพี่เขา
แต่น่าเสียดายนะครับ ถ้าพวกพี่ๆ ทหารเขาไม่ได้สวมหมวกวิธีคิดแบบ ‘ล้ำๆ’ อย่างงี้ และผมเป็นลุงตู่เนี่ย คงดีใจน่าดูถ้ามีคนเทียบเป็นจอมเผด็จการตัวพ่อของไทยอย่างสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เพราะเป็นทั้งเผด็จการที่ป๊อปปูลาร์ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชาติมากมาย ทั้งในทางระบบโครงสร้างอำนาจทางการเมือง และการพัฒนา มีคาริสม่าสูง รวมไปถึงตอนถูกตัดสินว่าโกงนี่ ก็ยังได้รับการยอมรับว่า “แมน!” อีกแหนะ เพราะยืดอกบอกเลยว่า “ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว” โหยยยยย ควรจะเป็นไอดอลของหมู่มวลเผด็จการไทยทั้งปวงเลยนะครับ
นี่แหละน้า ถ้าไม่มัวแต่ใช้วิธีคิดล้ำๆ แบบ Nondualism อยู่ ก็คงจะรู้ตัวแล้วว่า ที่เขาบอกว่าเหมือนสฤษดิ์นั้นน่ะ เขาชื่นชมในฐานะ ‘เผด็จการตัวแบบ’ กันเลยทีเดียว เผด็จการผู้ถึงพร้อมซึ่งกลไกและบทบาทจำเพาะแบบเผด็จการ แต่เนอะ เขียนแบบนี้เดี๋ยวพี่ทหารจะหาว่าผมคิดแบบติดกับดักขั้วตรงข้ามต่อไปอีก
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] โปรดดู www.matichon.co.th
[2] โปรดดู www.lifewithoutacentre.com