เช่นเดียวกับทุกปี เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ก็จะต้องมีใครสักคนอกสั่นพรั่นพรึง กลัวว่าวัยรุ่นจะแห่กันไปเสียตัวกันทุกที จนต้องปล่อยเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาสอดส่องถ้ำมองวัยรุ่นตามม่านรูดกลางค่ำกลางคืนเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือแคมเปญ “ส่งเสริมสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ” [1] !!!
ใช่ๆๆ ไม่ต้องตกใจ โครงการชื่อนี้จริงๆ โดยกระทรวงสาธารณสุขนี่แหละ เร่งผลิตประชากรที่เกิดจากหญิงอายุ 20-34 ปี ที่พร้อมอย่างตั้งใจ เกิดแล้วรอดปลอดภัยแข็งแรงมีคุณภาพ ด้วยการแจกวิตามินบำรุงร่างกายให้ทุกคู่ที่มาจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์ หรือคู่ที่มาปรึกษาวางแผนครอบครัวจะมีลูกตามโรงพยาบาล ซึ่งในส่วนของ ‘วิตามินแสนวิเศษ’ นั้น กระทรวงสาธารณสุขปรุงเสกจากธาตุเหล็ก โฟลิก และไอโอดีน
ว่าแต่แก้มแดงมาจากไหนวะ?
ด้วยความหวาดหวั่นว่าคนไทยจะสูญพันธุ์ ที่อัตราการเกิดของประชากรลดลง อันเนื่องมาจากผู้หญิงไทยมีการศึกษาที่สูงขึ้น จึงหันมาเป็นโสดมากขึ้น ไม่ก็แต่งงานช้าลง จึงต้องกระตุ้นในผู้หญิงมีลูกเพื่อชาติ
ไม่เพียงรัฐจะยังคงเชื่อว่าการ ‘เสียสาว’ ยังสลักสำคัญกันอยู่ และยังเชื่อว่ายังต้องไปกระทำความ ‘เสีย’ กันในโรงแรมม่านรูดกันอยู่ เฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้น ไม่ใช่วันขอบคุณพระเจ้า วันมาฆบูชา เข้าพรรษา สะบาโต เช็งเม้ง แต่ยังมีนโยบายประชากรไม่ต่างไปจาก 70 กว่าปีก่อน
ในสมัยรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามสมัยแรก (พ.ศ. 2481-2487) ได้กำหนด ‘นโยบายสร้างชาติ’ พยายามอย่างมากในการผลักดันให้ประชาชนแต่งงานมีครอบครัว มีลูกมากรากดก เพิ่มประชากรให้แก่รัฐ ทำให้ในปี 2486 มีการตั้ง ‘องค์การส่งเสริมการสมรส’ กระทรวงสาธารณสุขขึ้น
องค์การส่งเสริมการสมรสไม่เพียงจัดฉายหนัง ‘กิ่งทองใบหยก’ กระตุ้นให้พลเมืองนิยมทำผัวทำเมีย ยังพิมพ์ ‘คู่มือสมรส’ แจก จัดกิจกรรมสมรสหมู่พร้อมกันทั่วประเทศ มอบเงินและพันธุ์หมูให้เป็นของขวัญคู่บ่าวสาว ส่งเสริมเศรษฐกิจการอยู่ดีกินดี ให้อำเภอจัดห้องสำหรับจดทะเบียนสมรสโดยเฉพาะ ตกแต่งให้สวยงาม และในส่วนของข้าราชการ ก็ให้ข้าราชการหญิงชายพบปะใกล้ชิดกันด้วยการสั่งให้สถานที่ราชการงดปฎิบัติราชการในบ่ายวันพุธ ไม่ใช่เพื่อให้ข้าราชการออกกำลังกาย แต่เพื่อซ้อมรำวงซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะให้หญิงชายได้เกี้ยวกัน[2]
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงก็ถูกกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะภารกิจภายในครัวเรือน ในฐานะผู้ให้กำเนิด ปลูกฝัง บำรุงประชากรใหม่ให้มีคุณภาพ แข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจดีไม่อ่อนแอขี้โรค
ผู้หญิงนอกจากจะกลายเป็น ‘แม่พิมพ์ของชาติ’ แล้ว ก็ยังต้องตกแต่ง ปรับปรุง ดัดแปลงร่างกายเสื้อผ้าหน้าผม ให้มีทรวดทรงสรีระสมส่วน งามสมสมัย ร่าเริงแจ่มใส ดูแลร่างกายให้สุขภาพดีเพื่อเป็นแม่พันธุ์และให้กำลังใจสามี ในนาม ‘ดอกไม้ของชาติ’ [3]
และในพ.ศ. 2486 นี่เองก็ได้เกิดงาน ‘วันแม่แห่งชาติ’ วันที่ 10 มีนาคม อันเป็นวันกระทรวงสาธารณสุข จัดโดยกระทรวงสาธารณสุขเอง เพื่อเผยแพร่ความรู้อนามัยแม่และเด็กและยกย่องเกียรติของผู้หญิงผู้เป็นแม่ที่มีส่วนช่วยสร้างชาติ และในงานก็มีการประกวดการแข่งขันประกวดแม่สุขภาพดี ซึ่งหมายถึงประกวดคุณแม่ลูกดก
เมื่อการท้องของผู้หญิงไม่ได้เป็นแค่เรื่องการตัดสินใจของเธอเองล้วนๆ ที่อยากจะเป็นแม่คน มีโซ่ทองคล้องใจ พยานรัก เติมเต็มชีวิตครอบครัว ตามแล้วแต่พวกเธอจะเชื่อ หากแต่เป็นการท้องเพื่อชาติ
ร่างกายของพวกเธอจึงไม่เป็นของตัวเอง แม้แต่มดลูกของพวกเธอเอง ไม่ได้เพียงทำหน้าที่โอบอุ้มทารก แต่ยังกลายเป็นของสาธารณะ
ทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตทรัพยากรและอนาคตของรัฐ ตามระเบียบวาระแห่งชาติ ตามโมเดลที่รัฐออกแบบ
แต่ก็เอาเป็นว่า ‘สาวไทยแก้มแดงมีลูกเพื่อชาติ’ ปี 2560 ก็ยังดีตรงที่ไม่ได้หันไปแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำด้วยการไล่ผู้หญิงไปเรียนแต่วิชาแม่บ้านการเรือน เหมือนการศึกษาสำหรับผู้หญิงสมัยเมื่อแรกมีโรงเรียนสำหรับผู้หญิง ซึ่งเท่ากับจำกัดอาชีพผู้หญิงไปในตัว ให้เป็นแม่บ้าน พร้อมที่จะเป็นเมีย เลี้ยงลูกทำครัว ก็เพราะการศึกษานี่แหละที่ทำให้ผู้หญิงมีความรู้วิชาชีพ ประกอบอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย มีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ต้องรีบแต่งงานให้ผู้ชายหาเลี้ยงดูแล จะหย่าก็ไม่กลัวจะอดตาย เหมือนการสำรวจสถิติก่อนหน้านั้น ผู้หญิงที่อายุเกิน 10 ปีมีถึง 4,944,809 คน แต่ที่อ่านออกเขียนได้มีเพียง 713,296 คน และที่เรียนจบระดับอุดมศึกษาก็มีเพียง 348 คนเท่านั้นที่เป็นหญิงไทยในปี 2480[4] หรือย้อนไปยุคจอมพลแปลก ที่ประเทศมีมหา’ลัยเพียง 5 แห่งและกระจุกแต่ในกรุงเทพฯ จุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตร มหิดล ศิลปากร
เพราะไหนๆ รัฐเองก็จะตัดงบประมาณที่เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชนอยู่แล้ว ไหนจะอ้างว่า แบกรับค่าใช้จ่าย 1,500 ล้านบาทแต่ละปี ใน “โครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ” มาไหว เลิกแจกหนังสือเรียนฟรีแก่นักเรียนเป็นรายบุคคล แต่ให้ไปยืมห้องสมุดแล้วมาเรียนแทน เรียนหนังสือเก่าๆ กันไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะวิชาเรียนที่ไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาบ่อยๆ เช่นคณิตศาสตร์ ไหนรัฐยังจะตัดทอนงบรายหัวสวัสดิการสังคมบัตรทอง ทั้งๆ ที่เข้ายุคประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
บางทีแคมเปญ “ส่งเสริมสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ” มันก็คงเป็นทางออกให้กับเราในยุคที่สวัสดิการต่างๆ เหลืออยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย เร่งปั๊มลูกหลานไว้ให้มันคอยดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อแก่เฒ่า
…ซึ่งนั่นก็ประกันความมั่นใจไม่ได้อยู่ดี
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] ข่าวเพื่อสื่อมวลชน สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข. สธ.ส่งเสริมนโยบายสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ, 8 กุมภาพันธ์ 2560. pr.moph.go.th
[2] นันทิรา ขำภิบาล. (2530). นโยบายเกี่ยวกับผู้หญิงในสมัยสร้างชาติของจอมพล ป.พิบูลสงคราม พ.ศ.2481-2487. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
[3] ก้องสกล กวินรวีกุล. (2545). การสร้างร่างกายพลเมืองไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม. วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
[4] กองประมวลสถิติพยากรณ์, สถิติพยากรณ์รายปีประเทสไทย บรรพที่ 21 พ.ศ. 2481-2487. พระนคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2493, น. 74.