ในฝั่งหนึ่งคือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) วัย 39 ปี สูง 5 ฟุต 7 นิ้ว ที่ไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวว่าไปคว้าเหรียญทองการแข่งขันบราซิลเลียนยิวยิตสู หลังจากที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้มาอย่างหนักหน่วง ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง แม้อายุจะเยอะกว่าถึง 13 ปี แต่มีความได้เปรียบทางด้านขนาดของร่างกาย อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ชายร่างใหญ่ 5 ฟุต 11 นิ้ว ผู้มีท่าไม้ตายที่เรียกว่า ‘The Walrus’ กระโดดทับคู่ต่อสู้แล้วไม่ต้องทำอะไรอีกเลย
2 เศรษฐีพันล้านที่มักเห็นต่างในหลายประเด็นและออกมาปะทะคารมกันบ่อยครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตกลงกัน (แบบปากเปล่า) ว่าจะย้ายสังเวียนจากโลกออนไลน์ ไปเป็นการวางหมัดกันจริงๆ ในมวยกรงที่โคลอสเซียม ณ กรุงโรมประเทศอิตาลี
ยังไงก็ตามคนส่วนใหญ่เชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงๆ นั้นมีน้อยมาก รัฐบาลของประเทศอิตาลีเองก็คงไม่อยากให้มีการจัดงานอะไรในสถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแบบนี้ หรือแม้แต่แม่หรือพ่อของมัสก์เองที่ออกมาห้ามปราม บอกใช้ปากทำสงครามกันก็พอ อย่าใช้กำลัง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการปะทะกันของทั้งคู่จะไม่เกิดขึ้น เพราะในวันที่ 5 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา บริษัทเมตา (Meta) ของซักเคอร์เบิร์ก ปล่อยแอปฯโซเชียลมีเดียอันใหม่ที่ชื่อว่า Threads ออกมางัดกับ Twitter ของมัสก์แบบตรงๆ เรียกว่าเป็นแอปฯ น้องใหม่ที่เหมือนกับ Twitter อย่างกับแกะ ประหนึ่งซักเคอร์เบิร์กใช้คีย์ลัด Ctrl+C ก็อปปี้ และ Ctrl+V วางออกมาเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นการต่อสู้ครั้งใหม่ที่ซักเคอร์เบิร์กซัดกับมัสก์ผ่านโซเชียลมีเดียตรงๆ ก็คงไม่ผิดนัก
หลังจากที่มัสก์เข้าไปซื้อ Twitter ด้วยเงินกว่า 44,000 ล้านเหรียญเมื่อปลายปีก่อน ทุกอย่างก็ดูไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่นัก พนักงานกว่า 80% ถูกปลดออกจากงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ข่าวเรื่องการติดหนี้ค่าเช่าอาคารหรือบางที่ Twitter ก็มีล่มไม่ได้ใช้งานได้เสถียรเหมือนเดิม ปลดการแบนผู้ใช้งานบางคนที่มีโอกาสสร้างความแตกแยก (เช่นโดนัล ทรัมป์) จนบริษัทหลาย ๆ แห่งเริ่มหมดความเชื่อมั่น บริษัทวิจัยตลาด eMarketer คาดว่ารายได้โฆษณาจะลดลงราว 28% ในปีนี้ และมูลค่าของบริษัทโดยรวมเหลือเพียง 1/3 จากที่มัสก์จ่ายไปเมื่อปลายปีก่อนเท่านั้น
ความโกลาหลครั้งนี้สร้างโอกาสครั้งใหญ่ให้กับซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการอย่างมาก
เพราะถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ช่วงปี 2021 เป็นต้นมา ธุรกิจของเขาเรียกว่าเผชิญมรสุมชีวิตมาเยอะพอสมควร ทั้งเรื่องข่าวปลอม ข้อมูลลูกค้าที่รั่วไหล หรือแม้กระทั่งการเมินเฉยต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้งาน แม้ทราบดีว่าแอปฯ ของเขานั้นส่งผลกระทบในทางลบ ยังไม่พอเหมือนจังหวะชีวิตที่ย่ำแย่ ทำอะไรก็ดูผิดไปหมด ช่วงปลายปี 2021 ที่โควิดกำลังระบาดอย่างหนัก โลกกำลังติดล็อกดาวน์ และเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘Metaverse’ กำลังเป็นที่พูดถึง ซักเคอร์เบิร์กก็ออกมาเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook เป็น Meta และบอกว่านี่คืออนาคตของอินเทอร์เน็ต หลังจากเทเงินของนักลงทุนเข้าไปมากมาย ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
วันนี้ภาพลักษณ์ของซักเคอร์เบิร์กเริ่ม ‘ดูดีขึ้น’ หลังจากที่พูดถึงเมตาเวิร์สน้อยลง โฟกัสที่ตัวธุรกิจที่ทำอยู่ หันมาสร้างรายได้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ละลายเงินไปกับโปรเจ็กต์ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นลูกผีลูกคน ดูจากราคาหุ้น Meta ที่พุ่งทะยานขึ้นมา 133% (ณ วันที่เขียน 8 กรกฎาคม 2023) ตั้งแต่ช่วงต้นปีก็ได้ว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้ง แต่ต้องบอกว่ามัสก์ก็มีส่วนที่ทำให้ซักเคอร์เบิร์กดูดีขึ้นด้วย
เพราะแม้มัสก์จะยังมีแฟนคลับที่เหนียวแน่นและชื่นชมในแนวความคิดของเขา แต่ข่าวเสียๆ หายๆ ของในการดูแล Twitter ในช่วงที่ผ่านมาก็ส่งผลลบไม่น้อย ซึ่งทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมดูดีไปเลยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว
Threads กลายเป็นแอปฯ โซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้นในเวลาที่น่าสนใจ แม้เราไม่รู้หรอกมันจะสำเร็จมากขนาดไหนในระยะยาว แต่ก็ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สามารถฉวยโอกาสที่ Twitter ระส่ำระส่าย ดึงผู้ใช้งานใหม่ๆ มาไว้ในแพลตฟอร์มของตัวเองได้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ ที่พยายามมาก่อนหน้านี้ (เช่น Mastodon, Truth Social หรือ Bluesky) ทั้งประสบการณ์การใช้งานที่คล้ายกันกับ Twitter และกระบวนการสมัครที่ง่าย ใครมี Instagram อยู่แล้วก็แทบจะเรียกว่าเริ่มใช้งานได้ทันที จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงก็มีคนใช้งานมากกว่า 70 ล้านคนไปแล้ว
อีกอย่างหนึ่งเราต้องอย่าลืมว่าท่าไม้ตายของ ซักเคอร์เบิร์ก คือการก็อปปี้จุดแข็งของคู่แข่งแล้วเอามาปรับใช้กับแพลตฟอร์มของตัวเอง เรียกว่าช่ำชองจนกลายเป็นลายเซ็นของเขาไปแล้วก็ว่าได้ ถ้าจะมองว่าเขาไร้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์หรือไม่สามารถสร้างนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ได้เลยในช่วงที่ผ่านมา มุมมองนั้นก็อาจจะไม่ได้ผิดนัก แต่สำหรับนักลงทุนก็อาจจะไม่ได้สนใจอะไร ตราบใดที่ทำแล้วธุรกิจเติบโต สร้างรายได้มากขึ้น แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
จากรายงานของเว็บไซต์วิจัย DataReportal บอกว่า 87% ของผู้ใช้งาน Twitter นั้นใช้งาน Instagram อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการโยกไปแอปฯ ใหม่ที่เหมือนกันเลยเกือบทั้งหมดอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากนัก แม้หลายคนยังเป็นแฟน Twitter และบอกว่าจะไม่มีทางย้ายแพลตฟอร์มเด็ดขาด แต่ก็มีบางส่วนครับที่พร้อมจะลองพื้นที่ใหม่ๆ ในขณะที่ Twitter ดูไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้แทบทุกวัน (แล้วแต่ว่าวันนี้มัสก์อยากจะทำอะไร)
เทียบกันตามตัวเลขแล้ว มูลค่าของรายได้ Twitter นั้นเรียกว่าน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับ Facebook ในปี 2021 ตอนนั้น Twitter มีรายได้ 5,100 ล้าน ส่วน Facebook 116,000 ล้าน หรือประมาณ 1/8 เท่านั้น และที่น่าสนใจต่อจากนี้คือแม้ Threads จะยังไม่มีโฆษณาในตอนนี้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะเริ่มมีการสร้างรายได้จากทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย การที่พวกเขามีข้อมูลของผู้ใช้งานอยู่แล้วจาก Instagram การยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก
อีกมุมหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือเรื่องของ AI ตอนนี้เราเห็น ChatGPT ที่กำลังได้รับความนิยม ข้อมูลที่ AI เหล่านี้ใช้ฝึกก็มาจากอินเทอร์เน็ต บทความ กระดานข่าว โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่างๆ เพราะฉะนั้นการสร้างแพลตฟอร์มที่เน้นไปทางข้อความและการตอบโต้กันของมนุษย์ (ต่างจาก Facebook หรือ Instagram ที่ดูจะเน้นหนักไปทางภาพ) ก็จะช่วยสร้างข้อมูลอันมีค่าให้กับบริษัทด้วย ไม่ว่าจะขายหรือใช้เอง มันก็เป็นสิ่งที่เอาไปเล่าต่อให้กับนักลงทุนได้อีกเช่นกัน
ยังไงก็ตาม แม้ Threads จะมีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับ Twitter ก็ไม่ใช่ว่ามันจะสำเร็จ อย่าลืมว่าที่ผ่านมาแม้จะมีหลายฟีเจอร์หรือแอปฯ ที่ Facebook ลอกการบ้านมาแล้วประสบความสำเร็จ (Stories และ Reels เป็น 2 อย่างที่ทำได้ดี) แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ทำแล้วตายไปเยอะไม่น้อย (Dating, Gaming, Shopping)
Twitter กำลังเลือดออก มัสก์กำลังตกที่นั่งลำบาก Threads อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ซักเคอร์เบิร์กกำลังเร่งเครื่องเพื่อพยายามเอาชนะศึกนี้ให้ได้ โอกาสมาถึงแล้วแต่จะทำได้ไหม หรือมัสก์มีท่าไม้ตายอื่นนอกจาก ‘The Walrus’ ซ่อนอยู่รึเปล่า ศึกการปะทะครั้งนี้ของสองมหาเศรษฐียังเพิ่งเริ่มเท่านั้น แม้ไม่ได้วางหมัดกันในกรง แต่บอกตามตรงว่าดุเดือดไม่แพ้กันเลยทีเดียว
อ้างอิงจาก