1.
วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 109 ปีที่เรือไททานิคจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก หลังเดินทางออกจากอังกฤษเพื่อมุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา นับเป็นความสูญเสียของเรือที่มีการก่อสร้างอย่างยิ่งใหญ่ ได้รับการเรียกขานว่า “เรือที่ไม่มีวันจม” แต่สุดท้ายก็จมลงเพราะชนภูเขาน้ำแข็ง มีผู้เสียชีวิตทั้งเศรษฐี นักเขียน คนดัง ชาวบ้าน และราษฎรจำนวนมาก
ตำนานของไททานิคที่ยิ่งใหญ่และแสนเศร้านั้นได้รับการเล่าขานผ่านทางหนังสือ บทเพลง ภาพยนตร์อย่างหลากหลาย สำหรับภาพยนตร์ไททานิคซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั้งโลกนั้น ก็ต้องเป็นเวอร์ชันโดยผู้กำกับภาพยนตร์ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ซึ่งออกฉายในปี ค.ศ.1997 ที่มีพระเอกนางเอกอย่าง ลีโอนาโด ดีคาปรีโอ (Leonardo DiCaprio) ในบทแจ็ก ดอว์สัน กับเคท วินสเล็ต (Kate Winslet) ในบทโรส กับตำนานที่ตัวคาเมรอนเรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมแบบโรมิโอกับจูเลียตผ่านทางเรือไททานิค ที่สะท้อนชนชั้น ชีวิตสามัญชนกับชนชั้นสูง และตำนานสร้อยเพชรหัวใจแห่งมหาสมุทร
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยทำเงินได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งเดิมทีนั้นภาพยนตร์เรื่องไททานิคครองอันดับ 1 มาหลายทศวรรษก่อนจะโดนภาพยนตร์เรื่องอวตาร์ของเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับคนเดียวกันแซง แล้วมาโดนดิอเวนเจอร์ ภาคเอนด์เกมส์โค่นตกมาอยู่อันดับ 3 อย่างไรก็ดีไททานิคฉบับภาพยนตร์นั้นทำเงินไปได้ถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 14 รางวัลและกวาดมาได้ถึง 11 รางวัล เพลงประกอบภาพยนตร์ My Heart will go on ที่ขับร้องโดยซิลีน ดีออนก็กลายเป็นเพลงอมตะโด่งดังไปทั่วโลก
นี่คือภาพยนตร์ระดับตำนานที่คู่ควรกับการรับชมอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดีในระหว่างการถ่ายทำนั้น คนในกองถ่ายต่างเจอปัญหามากมาย ถึงขั้นลือว่ากองถ่ายนี้ต้องคำสาป โดยนักแสดงเคท วินสเล็ตป่วยปอดบวม กระดูกบิ่นและเกือบจมน้ำระหว่างการถ่ายทำ แต่เหตุการณ์ที่เป็นเรื่องใหญ่ของกองถ่ายนี้ก็คือ การวางยาพิษจนคนในกองถ่ายเกือบ 70 คนป่วยหนัก เรื่องนี้มีการสืบสวนโดยตำรวจอย่างจริงจังว่าใครคือผู้ก่อเหตุดังกล่าว
2.
ภาพยนตร์เรื่องไททานิคของคาเมรอนนั้น มีการถ่ายทำหลากหลายสถานที่ ถึงขั้นยกกันไปถ่ายกันที่ประเทศแคนาดา ที่เมืองโนวาสโกเชียติดมหาสมุทรแอตแลนติก โดยถ่ายทำกัน 5 อาทิตย์ ทุกคนต่างความเหนื่อยล้า แถมหลังถ่ายจบ กองถ่ายก็ยังต้องยกโขยงไปถ่ายทำฉากเรือจมที่เม็กซิโกกันต่อ โดยการถ่ายทำที่แคนาดานี้ ทางลีโอนาโดและเคทไม่ได้มาร่วมถ่ายด้วย
ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1996 หลังจากทุกคนในกองถ่ายตรากตรำทำงานกันอย่างยากลำบากมาเดือนกว่าๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า เราควรจะเลี้ยงอาหารกินร่วมกันเสียหน่อย จึงมีการสั่งอาหารมา โดยเป็นอาหารเที่ยงที่กินกันตอนเที่ยงคืน และทุกคนก็มาร่วมกินกัน โดยอาหารเด็ดที่เอามาเลี้ยงก็คือซุปทะเล ซึ่งว่ากันว่าอร่อยมาก มีคนไปกินเบิ้ล 2 ชามบ้าง 3 ชาม โดยในงานนี้มีคนกองถ่าย 100 คนมาร่วมงาน นอกจากผู้กำกับอย่างคาเมรอนแล้วก็ยังมีนักแสดงชื่อดังที่ร่วมแสดงอย่างบิล แพ็กซ์ตัน (Bill Paxton) มาร่วมวงกินข้าวด้วย
หลังจากกินซุปทะเลแสนอร่อยไปสักพัก หลายคนก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ขึ้น บางคนเซทรงตัวไม่อยู่ บางคนหัวเราะ บางคนไปอ้วก บางคนร้องไห้ออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทางคาเมรอนเองก็รู้สึกมึนๆ หัว ทีแรกเขาคิดว่ามันเกิดจากหอยทะเลที่ส่งฤทธิ์พิษทำให้ร่างกายเป็นอัมพาต เขารู้เลยว่านี่เป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก จึงลุกจากโต๊ะอาหารไปอ้วก
“พอผมกลับมา ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ที่นั่นแล้ว
ผมยืนตรงจอมอนิเตอร์ ใกล้กับกล้อง และทั้งห้องก็ว่างเปล่า
เหมือนอยู่ในแดนสนธยาเลย”
อาหารกลางวันยามเที่ยงคืนกลายเป็นเรื่องวายป่วง ทุกคนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที ที่นั่นเจ้าหน้าที่ได้ให้คนในกองอยู่ในห้องเล็กๆ บางคนนั้นมีอาการผะอืดผะอมจากการอ้วกเอาสารพิษออก แต่หลายคนก็กระโดดโลดเต้น หนีออกจากห้อง ไปเอารถเข็นพยาบาลร่อนกันอย่างสนุกสนาน พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลคืนนั้นเป็นอาการของคนเมายา
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องนำยามาให้กินเพื่อให้ถอนพิษ พยานบอกว่าความรู้สึกมันก้ำกึ่งระหว่างการเมากัญชากับเมาเหล้า ทุกอย่างดูหลอนฟุ้งไปหมด จนเกือบรุ่งเช้า คนที่มาโรงพยาบาลเริ่มอาการดีขึ้น อาการเมาและพิษที่อยู่ในตัวเริ่มหาย พวกเขาจึงทยอยออกจากโรงพยาบาล กลับที่พัก ข่มตานอนหลับ เพื่อที่จะตื่นมาทำงานในตอนกลางคืนต่อ
ทั้งนี้คนที่กินซุปต่างไปโรงพยาบาลกันหมด ยกเว้นทางแพ็กตันที่พอรู้ว่าโดนวางยา เขาก็ใช้วิธีการถอนพิษด้วยตัวเขาเอง โดยการซัดเบียร์เป็นลัง จนร่างกายถ่ายถอนพิษออกมาได้ ทำให้แพ็กตันเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาล และกลับที่พักของตัวเองได้อย่างสบายใจ
อีกคนที่รอดจากเหตุการณ์นี้อย่างหวุดหวิดคือนักแสดงสาวรุ่นใหญ่อย่างกลอเรีย สจ็วต (Gloria Stuart) ซึ่งแสดงเป็นโรสตอนแก่ เธอตัดสินใจไปกินข้าวที่ร้านอาหารแทน คือถ้าแกมากินข้าวในกองและด้วยวัยในตอนนั้นที่อายุย่าง 86 ปีแล้ว บางทีเหตุการณ์นี้อาจจะจบลงเลวร้ายกว่านี้ก็เป็นได้
3.
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมีคนจำนวนมากโดนวางยา หลายคนอาจเมายาสนุกสนานกันที่โรงพยาบาล แต่หลายคนมีอาการแย่ ทางคาเมรอนเองนั้นโดนทีมงานที่เมาเอาปากกามาจิ้มหน้าจนเลือดออก แถมตอนโดนนั้นเขาก็ร่วมขำก๊ากไปด้วย พอเรื่องมันอลหม่านขนาดนี้ แถมคนไข้ที่เข้ามาล้วนเป็นกองถ่ายหนังฮอลลีวูด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถูกเรียกตัวมาสอบสวนคดีนี้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เจ้าหน้าที่นำตัวอย่างซุปไปตรวจว่าพิษตัวไหนที่ทำให้คนในกองเป็นกันขนาดนี้ เจ้าหอยทะเลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นตัวการนั้น จากการตรวจพบว่าพิษไม่ได้มาจากหอยนี้แต่อย่างใด โดยพิษที่ก่อเรื่องนั้น เป็นยาที่ชื่อว่าเฟนไซคลีดิน (Phencyclidine หรือ PCP) ซึ่งเป็นสารหลอนประสาท เดิมเป็นยาระงับความรู้สึกที่ใช้กันมากว่า 30 กว่าปีแล้ว จนมีนักเล่นยาบางคนแปลงเอาสารตัวนี้ไปหยดกับบุหรี่เพื่อสูบ หรือหยดใส่กัญชาพันลำเพื่อสูบ บางคนก็เอาไปกิน ไปสูด ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ซึ่งมันจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลิ้นพันกัน เหมาะกับการเมาเคลิ้ม ๆ แน่นอนว่าถ้ารับสารในปริมาณที่เยอะ ก็จะหายใจไม่ออก ชักกระตุก โดยเล่นหนัก ๆ ก็ถึงตายได้ สำหรับ PCP นี้จะมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายเราประมาณไม่เกิน 6 ชั่วโมง
ปัญหาคือเจ้า PCP นี้มันไปอยู่ในซุปทะเลได้อย่างไร?
ถึงจุดนี้สูตรทำอาหารซุปทะเลทั่วทั้งโลกนั้น ไม่มีการบอกไว้ว่าใส่สารหลอนประสาท PCP แล้วซุปจะรสชาติโอชะขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสรุปว่ามีคนวางยาพิษคนในกองถ่ายอย่างแน่นอน การสืบสวนเริ่มขึ้น โดยคำถามแรกที่ตั้งไว้คือ วางยาไปเพื่ออะไร
ตำรวจวางประเด็นทฤษฎีไว้ 3 ประเด็นด้วยกัน โดยประเด็นแรก พวกเขาเชื่อว่ามีคนพยายามจะฆาตกรรมคนในกองถ่าย ซึ่งเรื่องนี้เป็นทฤษฎีที่มีคนสรุปกันอย่างมากมาย ว่าฆาตกรต้องการฆ่าใครสักคนในกองถ่าย จึงหยอดสารพิษลงไปในซุป หวังว่าเหยื่อมากินจะต้องตาย
ปัญหาก็คือ การจะฆ่าคนด้วยวิธีนี้มันจะต้องใช้สารพิษที่เยอะมาก แล้วจะรู้ได้ไงว่าคนที่คุณอยากฆ่าจะมากินซุป แล้วหากคนอื่นมากินแล้วตาย มันจะวุ่นไปกันใหญ่ วิธีนี้เหมาะใช้กับพล็อตหนังเกรดบีเท่านั้น ไม่เหมาะกับการฆาตกรรมจริงๆ
ประเด็นที่ 2 อันนี้คาเมรอนเชื่ออย่างมาก เขาบอกว่าการวางยาพิษนี้เกิดจากมีคนในกองถ่ายที่โดนเขาไล่ออกไปก่อนหน้านั้นแล้วไม่พอใจจึงลอบวางยาในซุปนี้
ทั้งนี้คาเมรอนเองเป็นผู้กำกับที่ทำงานเข้มข้นมาก เขาไล่คนในกองถ่ายออกไปก่อนจะเกิดเหตุ ในเรื่องแรงจูงใจนั้นถือว่าคนที่โดนไล่ออกมีพร้อมจะก่อเหตุอย่างแน่นอน ปัญหาก็คือไม่มีพยานเห็นเขาเข้ามาในกองถ่ายช่วงก่อนเกิดเหตุเลย แถมการจะเข้าไปวางยา ก็ต้องฝ่าเข้าไปในจุดทำอาหารในครัว ซึ่งก็ไม่มีใครเห็นคนร้ายเข้ามาแต่อย่างใด
ทฤษฎีนี้ คาเมรอนเชื่ออย่างมากถึงทุกวันนี้ เพราะเขาไล่ทีมงานคนหนึ่งออกจากกองถ่าย 1 วันก่อนเกิดเรื่อง เพราะดันไปสร้างปัญหากับโรงครัว ดังนั้นการวางยาพิษนี้เป็นแผนที่จะเอาคืนกองถ่ายอย่างแน่นอน ตัวคาเมรอนเองไม่เคยเปิดเผยชื่อผู้ต้องสงสัยรายนี้ และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เรียกตัวมาสอบแต่อย่างใด เพราะมันไม่มีหลักฐานจะเอาผิดเลย
ทฤษฎีสุดท้ายคือคนในกองนั่นแหละแกล้งกันเองโดยหยอด PCP ลงไปในซุปกะเล่นขำๆ แต่พอเรื่องมันเตลิดเปิดโปงมากขึ้น ก็จึงปิดปากเงียบไม่ออกมารับสารภาพแต่อย่างใด เพราะขืนออกมาพูด ก็ต้องถูกดำเนินคดี ถูกไล่ออกจากกองถ่ายตกงานเป็นแน่แท้ เพราะหลังเหตุการณ์วางยาเกิดขึ้นแล้ว ทีมงานยังคงตื่นมาทำงานต่อและได้ยกกองกันไปเม็กซิโก ดังนั้นพอไม่มีใครเป็นอะไรมาก คนที่ทำก็ปิดปาก
แถมเหตุการณ์นี้มันก็จบลงที่อาจมีคนอ้วกแพ้บ้าง แต่ก็ไม่ได้อาการหนัก แต่ที่สนุกกว่าคือคนในกองถ่ายไปเมาร้องเพลงเต้นกันที่โรงพยาบาล นี่แหละคือความฮาจากการกลั่นแกล้งที่หวังผล ดังนั้นพอเรื่องจบลง คนทำ คนร่วมรู้เห็นต่างเงียบปิดเป็นความลับจะดีกว่า
เมื่อพี่ไม่พูด เอ็งไม่พูด ก็จะไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน
แถมหลังเกิดเรื่องก็ไม่มีใครสืบขยายผลว่า
ยาตัวนี้มันมาจากไหน เข้ามาตอนไหน อะไรยังไง
ทุกอย่างจึงถูกเก็บเป็นความลับปิดตายถึงทุกวันนี้
4.
จริงๆ แล้วมันยังมีทฤษฎีอื่นอีก เช่นบริษัทหนังคู่แข่งทำเพราะอยากให้โครงการหนังไททานิคล่ม เชฟที่ทำอาหารเล่นยาตัวนี้แล้วเผลอทำยาหกลงไป หรือประชาชนที่ไม่ชอบการถ่ายหนังเรื่องนี้มาลงมือเพื่อทำให้การถ่ายทำล่ม แต่ทุกอย่างที่พูดมา มันยากมาก เพราะไม่มีหลักฐานพอจะไปกล่าวหาใครได้เลย
ระหว่างการสืบสวนคดีนี้ ทางภาพยนตร์ไททานิคได้ออกฉายและกวาดรายได้มหาศาลทั่วโลก ประสบความสำเร็จทางรางวัลมากมาย พอกระแสความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้น มันจึงกลบปริศนาว่าใครวางยาในกองถ่ายลงไปอย่างง่ายดาย ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ปิดคดีนี้ลงไปเพราะไม่มีหลักฐานผู้ต้องสงสัยอะไรเลยในอีก 3 ปีต่อมา ปล่อยให้เป็นปริศนาว่าใครทำกันแน่
สุดท้ายนี้หลังการวางยาพิษ คนในกองถ่าย 70 คนที่โดนวางยาก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก ยังคงออกมาทำงานกันต่อเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จนโด่งดังไปทั่วโลก และเรื่องราวที่เหลือต่อจากนี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานในโลกภาพยนตร์
เหตุการณ์วางยาพิษคนในกองถ่ายได้กลายเป็นเรื่องถูกลืมจากความยิ่งใหญ่ในความสำเร็จของภาพยนตร์ไททานิค มันอาจเป็นไปดังที่ซีอีโอค่ายภาพยนตร์ไททานิคกล่าวกับสื่อมวลชนไว้ว่า “ผมไม่คิดว่าคนที่ทำเขาจะมีจุดประสงค์ทำร้ายใครหรอกครับ มันก็เหมือนงานฉลองปาร์ตี้เท่านั้น”