เป็นธรรมเนียมล่ะครับที่ทุกๆ สิ้นปี จะมีการจัดลำดับที่สุดแห่งปีในสาขาต่างๆ ออกมา ทั้งเพลงแห่งปีก็ดี เหตุการณ์แห่งปี และแน่นอนภาพยนตร์แห่งปี ซึ่งในฐานะที่คอลัมน์คิดเองเออเองนี้ก็เขียนถึงหนังเป็นหลัก ผมก็ขอใช้พื้นที่คอลัมน์สุดท้ายของปีนี้จัดลำดับภาพยนตร์ 10 เรื่องที่ผมได้ดูในปีนี้ และรู้สึกชื่นชอบ ประทับ และติดค้างอยู่ในใจมากที่สุด
แน่นอนครับว่าเกณฑ์การตัดสินคือความชอบพอของตัวเองล้วนๆ เช่นนั้นจึงไม่แปลกหากมีภาพยนตร์บางเรื่องหล่นหายไป ที่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่มันอาจไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกติดค้างดังเช่นรายชื่อที่เลือกมาเหล่านี้ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา ไปดูกันเลยดีกว่าครับว่าภาพยนตร์ทั้ง 10 อันดับมีอะไรกันบ้าง
10. Swiss Army Man
หนังแปลกๆ ที่บรรจุเรื่องเล่าประหลาดๆ เมื่อมิตรภาพเกิดขึ้นระหว่างชายติดเกาะ และศพปริศนาที่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ จากศพที่จู่ๆ ก็พูดได้ขึ้นมา และความพยายามของทั้งคู่ที่จะหนีออกจากเกาะแห่งนี้ก็ได้เติมพลังชีวิตให้กับเราเมื่อครั้งที่ได้ดู และแม้หนังจะพูดประเด็นเดิมๆ จำพวกว่า อย่าได้โยนความหวังทิ้งไป แต่เมื่อวิธีการพูดของมันทำได้จับใจ ก็ไม่แปลกเลยที่เราจะตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
9. Knight of Cups
พักหลังๆ Terrence Marlick คล้ายจะทำหนังคล้ายๆ กันและแพตเทิร์นของมันก็เหมือนกันไปหมด กล่าวคือ เขายังคงเล่าเรื่องราวของชีวิตมนุษย์ที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดสารพัดสารพัน ตั้งคำถามต่อชีวิตซ้ำๆ และไม่อาจหลุดพ้นจากกรงขังที่ชื่อว่าโลกใบนี้ได้ กระนั้นก็ตาม Knight of Cups กลับประสบความสำเร็จในการหยิบฉวยเอาเรื่องราวของชายหนุ่มซึ่งผ่านพ้นความรักมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนมาถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง และแม้จะไม่ปะติดปะต่อนัก หากก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะอันเคว้งคว้างที่เขาไม่อาจหยิบฉวยอะไรเลยในชีวิตได้อย่างเจ็บช้ำเสียเหลือเกิน
8. Right Now Wrong Then
หนังเกาหลีใต้ที่ไปคว้ารางวัลใหญ่ๆ อย่างโลกาโน่มาได้เรื่องนี้บรรจุความดีงามที่แสนเรียบง่ายและสุดจะน่าชื่นชม และแม้ Hong Sang Soo จะเป็นผู้กำกับซึ่งผลิตผลงานชนิดรายปี แต่เขาก็ยังรักษามาตรฐานตัวเองได้ไม่เคยตกหล่น หนังเล่าเรื่องของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างบทสนทนาของผู้กำกับและศิลปินสาวผู้หนึ่ง โดยเลือกแบ่งออกเป็นสองความเป็นไปได้ที่ว่า หากบทสนทนาหนึ่งดำเนินไปเช่นนี้ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดำเนินไปเช่นไร แต่ถ้าบทสนทนาเกิดเป็นไปในอีกแบบหนึ่งล่ะ ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ยังจะลงเอยเฉกเช่นเดียวกับแบบแรกอยู่หรือเปล่า
7. Things to Come
ถ้าว่ากันที่การแสดง Isabelle Huppert ไม่เคยทำให้ผิดหวัง หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของอาจารย์วิชาปรัชญาที่อยู่มาวันหนึ่ง สามีของเธอก็มาสารภาพว่าตนมีชู้ จนนำไปสู่การแยกทางของทั้งคู่ และสภาวะทางจิตใจของเธอที่ค่อยๆ แตกสลาย หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้อาศัยการจับจังหวะชีวิตที่แสนร้ายกาจ ถ่ายทอดมันออกมาอย่างเรียบง่าย หากก็จงใจจะย้ำเตือนเราอยู่เสมอว่าชีวิตของอาจารย์ที่เรากำลังจับจ้องอยู่นี้กำลังพังทลาย ซึ่งก็ด้วยการไม่พยายามขับเน้นเรื่องราวบนจอให้ล้นเกิน อาศัยแค่เพียงจังหวะนิ่งเนิบนี่เองที่มันกลับสร้างผลลัพธ์อันโหดร้ายให้กับคนดู
6. The Witch
เรียกเสียงชื่นชมเกรียวกราวมาแล้วที่ซันแดนซ์ และพอได้ชมก็ถึงแก่เห็นตรงกับเสียงตอบรับที่มันสมควรแล้วจะได้รับ The Witch เล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในช่วงที่อังกฤษเพิ่งเข้ามาตั้งอาณานิคมในแถบนิวอิงแลนด์ของสหรัฐฯ โดยครอบครัวเล็กๆ นี้ถูกอัปเปหิออกจากชุมชนให้ต้องไปอาศัยอยู่ที่ริมตะเข็บชายแดนระหว่างแผ่นป่าลึกผืนใหญ่ มีตำนานเล่าว่าข้างในนั้นมีแม่มดอยู่อาศัย และทีละน้อยที่ความชั่วร้ายซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอำนาจของผีห่าซาตานหรือเป็นความงมงายของมนุษย์กันเองก็ได้ปะทะกันอย่างรุนแรงภายใต้เสียงโหยหวนและเสียงสวดภาวนาอันไม่สิ้นไม่สุด
5. The Look of Silence
อาจเรียกได้ว่าภาคขยาย(?) ของ The Act of Killing สารคดีที่พาเราไปสำรวจชีวิตของนักฆ่าอินโดนีเซียในปัจจุบันว่าเขาอยู่กินกันอย่างไร หลังจากที่เคยสังหารประชาชนไปแล้วมากมายในการกวาดล้างคอมมิวนิสต์สมัยประธานาธิบดีซูฮาโต The Look of Silence ไม่เพียงพาเราไปพบกับเหล่านักฆ่าเพียงเท่านั้น ทว่านำพาเอาญาติพี่น้องของผู้ซึ่งถูกสังหารไปเผชิญหน้าและจ้องตาตรงๆ กับอดีตผู้เคยบั่นชีวิตเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ความตึงเครียดอันไม่บรรยะบรรยัง ความอึดอัดที่ไม่เคยลดหย่อนคือสิ่งซึ่งอึงอลอยู่ได้ตลอดสารคดีเรื่องนี้
4. ดาวคะนอง
คำถามคือเราจะเล่าเรื่องราวของหกตุลาอย่างไรหากเหตุการณ์อันโหดร้ายนั้นยังหลอกหลอนไม่สิ้นสุดแม้จะในกาลปัจจุบัน อาจารย์ธงชัย วินิจกุล เคยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไว้ว่า แม้จะผ่านมาแล้วหลายปี กระนั้นก็ยังมีการพบร้ายชื่อผู้เสียชีวิตใหม่ๆ ราวกับว่าหกตุลายังคงดำเนินอยู่เรื่อยไปในระนาบเดียวกับปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้กระมังที่ดาวคะนองจึงไม่ใช่การเล่าถึงเหตุการณ์นองเลือดนั้นอย่างตรงไปตรงมา ชนิดที่ว่ามาจำลองความทรงจำให้เห็นกันแค่ง่ายๆ แต่มันเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงวิธีการเล่า การเล่าที่ไม่เพียงปรากฏในรูปของเสียง แต่ยังรวมถึงภาพ และความทรงจำอันแหว่งวิ่นและเชื่อถือไม่ได้
3. Embrace of the Serpent
ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้อย่างเต็มปากว่าได้มอบประสบการณ์อันตื่นตะลึงจนผมนั่งไม่ติดเบาะของโรงภาพยนตร์ มันเล่าเรื่องของสองนักสำรวจ ในสองเวลา ที่เดินทางเข้าไปยังป่าลึกของแม่น้ำแอมะซอนและได้พบกับชายปริศนาที่คล้ายๆ ว่าจะกุมกุญแจสำคัญซึ่งจะพาสองนักสำรวจไปพบกับสมบัติลับแห่งผืนป่าที่พวกเขาตั้งหวัง มันคือการปะทะกันระหว่างโลกภายนอกและโลกซึ่งถูกปกปิดอยู่ด้วยผืนป่า และการตั้งคำถามที่ว่า การเข้ามาของวิทยาการและความรู้แขนงใหม่ได้ทำอะไรกับสิ่งซึ่งมันเข้ามาแทนที่บ้าง
2. The Wailing
แม้จะเคลือบฉาบด้วยภาพของหนังสยองขวัญ ทว่าแท้ที่จริงมันคือการสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวแห่งระบบปิตาธิปไตย หนังเล่าเรื่องคดีสะเทือนขวัญในหมู่บ้านเล็กๆ ที่จู่ๆ ผู้คนก็บ้าคลั่งขึ้นมาราวกับผีบ้า จนเกิดข้อสันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา ว่าอะไรกันแน่คือสาเหตุ จะเป็นเห็ดพิษร้ายหรือเปล่า หรือจะเป็นมนต์ดำไสยศาสตร์ที่ก็ไม่รู้มาจากไหน ซึ่งท่ามกลางความสับสนไม่รู้เหนือรู้ใต้นี่เองที่หนังก็ได้ค่อยๆ เผยให้เห็นภาพจริงของความชั่วร้าย การมีอยู่จริงของปิศาจที่แสนจะน่าขนลุกขนพอง
1. Cemetery of Splendour
ในโมงยามซึ่งเราไม่อาจวางใจอะไรได้เลยต่อประเทศแห่งนี้ น่าเสียดายเข้าไปอีกที่ภาพยนตร์ซึ่งสะท้อนสภาวะอันอิหลักอิเหลื่อนี้ได้เป็นอย่างดีกลับไม่ถูกฉาย Cemetary of Splendor คือผลงานที่ยังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเก่งฉกาจของอภิชาติพงศ์ที่จับเอาชั่วขณะอันสั่นคลอนของกาลปัจจุบันมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวที่แสนจะน่าเศร้า สะเทือนใจ และทำให้ผมร้องไห้ซ้ำๆ ด้วยสิ้นหวังกับอะไรเดิมๆ
ก็ประมาณนี้ล่ะครับหนังสิบเรื่องที่ผมประทับใจที่สุดในปีนี้ คุณผู้อ่านล่ะครับชอบเรื่องไหนกันบ้าง มาแชร์กันครับ 🙂