ทันใดนั้นเอง รถ DeLorean DMC-12 พุ่งตัวหายวับ เหลือไว้แต่เพียงรอยล้อไฟลุกโชนเป็นทางยาว
เพียงองค์ประกอบข้างต้นก็น่าจะกระตุกต่อมให้รู้แล้วกันว่า สิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นคืออะไร มันคือการข้ามเวลาครั้งสำคัญในโลกภาพยนตร์ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะจดจำกันได้ ย้อนไปกลับไปในปี 1985 หนังไซไฟเรื่องหนึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้คนดูทั่วโลกทึ่งและอัศจรรย์ไปกับการท่องเวลา หนังเรื่องที่ว่าคือ Back to the Future (1985)
จากวันนั้นเวลาผ่านไปไวจนเหลือเชื่อ รู้ตัวอีกที เดือนตุลาคมปี 2025 นี้ หนังเรื่อง Back to the Future ก็จะมีอายุครบ 40 ปี ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง ตัวหนังครบรอบ 40 ปีไปตั้งแต่วันที่ 3 เดือนกรกฎาคมหากนับจากวันฉายวันแรก แต่สำหรับแฟนๆ แล้ว วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปีถือเป็นอีกวันสำคัญ เพราะนี่เป็นวันที่แฟนคลับเห็นตรงกันและตั้งชื่อให้ว่า “Back to the Future Day” อ้างอิงจากเหตุการณ์ในหนังที่มาร์ตี้ เจนนิเฟอร์ และด็อค เดินทางด้วยเครื่องไทม์แมชชีนไปยังวันที่ 21 ตุลาคม 2015 ในโลกอนาคต เป็นการกลับไปยังโลกอนาคตที่ตรงกับชื่อ Back to the Future ของหนังได้พอดิบพอดี
นับตั้งแต่ออกฉาย Back to the Future คือแฟรนไชส์หนังที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อโลกภาพยนตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรมป๊อป และผู้คนเรื่อยมา ดังนั้น เนื่องในโอกาสที่แสนจะเหมาะเจาะ ขอชวนทุกคนกลับไปเจาะเวลาหาอดีต เพื่อพบเจอกับเรื่องราวรายล้อมหนังที่จะส่งผลมาถึงปัจจุบัน และส่งต่อไปยังอนาคต

รายได้ Box Office กับความความสำเร็จที่(อาจจะ)ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
ปี 1985 ถือเป็นปีที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวมค่อนข้างตกต่ำ ความกังวลก่อตัวขึ้นเมื่อตัวเลข box office หลังจบเดือนพฤษภาคมทำยอดได้น้อยกว่าปีก่อน 7% ยอดตั๋วเข้าชมลดลงถึง 14% ต้นทุนเฉลี่ยการสร้างหนังเองก็สูงขึ้นมาก
และที่หนักยิ่งกว่าคือ ช่วงหน้าร้อนของสหรัฐอเมริกา (ต้นเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน) ในปีนั้นเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Summer Film Glut หรือการที่มีหนังเข้าฉายติดๆ กันมากเกินไป นับรวมแล้วกว่า 45 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 1984 กว่า 25% รายได้ที่พอจะคาดการณ์ได้ของ Back to the Future ซึ่งอยู่ในรายชื่อหนังหน้าร้อนจึงดูไม่ค่อยจะมีอนาคตสักเท่าไหร่
คู่แข่งตัวเต็งในเวลานั้นนับว่าเดือดใช่เล่น ไม่ว่าจะเป็น Rambo: First Blood Part II, A View to a Kill, Pale Rider, และ Mad Max Beyond Thunderdome ตามกำหนดการแล้ว Back to the Future ถูกวางไว้ให้ฉายในวันที่ 19 กรกฎาคม แต่ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลทางกลยุทธ์หรือโชคชะตา ซิดนีย์ เชนเบิร์ก (Sidney Sheinberg) ผู้บริหารระดับสูงของ Universal Pictures ตัดสินใจเลื่อนวันฉายเป็นวันที่ 3 กรกฎาคม ก่อนหน้าวันหยุดในวันชาติสหรัฐฯ การเลื่อนวันฉายให้เร็วขึ้นนี้ยังทำให้หนังมีเวลาทำเงินเพิ่มอีก 16 วันจากกำหนดการเดิม
หลังจากฉาย ความสำเร็จในแง่รายได้ส่งให้ Back to the Future กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปี 1985 ทำรายได้มาเป็นอันดับที่หนึ่งถึง 11 จาก 12 สัปดาห์ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ด้วยทุนสร้าง 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หนังทำเงิน box office รวมทั่วโลกได้ถึง 389 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 25 เท่า ของทุนสร้าง และเทียบเท่ากับ 1.15 พันล้านดอลลาห์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน (ปี 2025)
การประสบความสำเร็จของ Back to the Future คือปรากฏการณ์ที่หนังข้ามเวลาไม่เคยทำได้มาก่อน และแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เพราะวันฉายหนัง
ความยากของหนังข้ามเวลาและการเขียนบทที่เข้าถึงได้
มีเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้หนังแฟรนไชส์ Back to the Future กลายเป็นหนังไซไฟข้ามเวลาที่คลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน การเขียนบทนับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่ทำให้หนังแตกต่างจากหนังข้ามเวลารุ่นพี่
ย้อนไปกลับก่อนการมาถึงของ Back to the Future คอนเช็ปต์เรื่องการข้ามเวลามักเป็นเรื่องชวนปวดหัวสำหรับคนดูและคนทำหนัง การเดินทางข้ามเวลาเป็นเรื่องน่าทึ่งบนหน้ากระดาษนิยายไซไฟก็จริง แต่บนจอภาพยนตร์นั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นได้จากความสำเร็จของ The Time Machine ในปี 1960 ที่แม้จะได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ทว่ากลับไม่ได้จุดกระแสหนังข้ามเวลาสักเท่าไหร่
โรเบิร์ต เซเม็กคิส (Robert Zemeckis) ผู้กำกับ Back to the Future และมือเขียนบท บ็อบ เกล (Bob Gale) น่าจะเข้าใจความยากของการเขียนบทหนังข้ามเวลาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการที่ตัวเรื่องต้องมีกฎเกณฑ์แสนเข้มงวดที่สามารถผูกโยงทั้งเรื่องเอาไว้ได้ แต่ต้องทำให้เรียบง่ายพอที่คนดูจะเข้าใจ

ความฉลาดของทั้งโรเบิร์ตและบ็อบคือการเล่นกับคอนเซ็ปต์ ‘ไทม์ไลน์ที่เปลี่ยนแปลงได้’ และผูกเข้ากับความสัมพันธ์ ความเป็นไป หรือกระทั่งความเป็นความตายของคนในเรื่อง เช่น ปมในภาคแรกที่ตัวเอก ‘มาร์ตี้ แม็กฟลาย’ ย้อนกลับไปในอดีต และต้องหาทางให้พ่อกับแม่ของเข้าพบรักและจูบกันในคืนงานเต้นรำให้ได้ ไม่อย่างนั้นการมีอยู่ของตัวเขาจะหายไป
โรเบิร์ตและบ็อบได้เปลี่ยนคอนเซ็ปต์การเดินทางข้ามเวลาที่สุดจะซับซ้อน ไปสู่พล็อตเรื่องที่คนดูเชื่อมโยงได้ง่าย ใกล้ตัว และเข้าใจได้ทันที แต่การทำบทให้เข้าถึงได้ง่ายไม่ได้แปลว่าจะปล่อยเลยตามเลย นักเขียนบททั้งสองยังไม่ลืมที่เข้มงวดกับตัวบทที่ต้องรัดกุมเพื่อให้มีจุดผิดพลาดน้อยที่สุด บทพูดที่คนดูได้เห็นจึงเป็นสิ่งที่ทั้งโรเบิร์ตและบ็อบมั่นใจแล้วว่ามีจุดประสงค์ที่ชัดเจนและสำคัญกับเนื้อเรื่องจริงๆ เท่านั้น ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ สคริปต์ที่ทั้งคู่เขียนขึ้นร่วมกันได้ผ่านการถูกปฏิเสธมาแล้วกว่า 40 ครั้ง
เรียกว่า Back to the Future เป็นหมุดหมายสำคัญก่อนจะเริ่มมีคลื่นหนังข้ามเวลาหลายเรื่องในเวลาถัดมา อาจเป็นเหตุผลที่ในที่สุดคนดูสามารถเข้าใจคอนเซ็ปต์ของเวลาและเส้นเวลาที่ยุ่งเหยิงมากขึ้นในหนังยุคปัจจุบัน (และอาจหมายรวมถึงไปถึงคอนเซ็ปต์ว่าด้วยมัลติเวิร์สด้วย) แต่กว่าจะได้บทแบบ
ความท้าทายฝั่งนักแสดง
ในตอนแรกเวลาอาจไม่อยู่ข้างโรเบิร์ตและบ็อบหากว่าด้วยเรื่องนักแสดง ทั้งคู่เห็นตรงกันว่า ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) เหมาะที่สุดที่จะรับบทเป็น มาร์ตี้ แม็กฟลาย แต่ในตอนนั้นไมเคิลกำลังติดถ่ายทีวีซีรีส์ Family Ties (1982–1989) งานนี้ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่เป็นหนึ่งผู้อำนวยการสร้างหนังจึงออกโรงส่งสคริปต์ไมเคิลผ่านทาง แกรี่ เดวิด โกลด์เบิร์ก (Gary David Goldberg) โปรดิวเซอร์ของ Family Ties แต่ด้วยความกังวลว่าความนิยมของทีวีซีรีส์จะดรอปลง แกรี่ โกลด์เบิร์กจึงไม่ยอมส่งสคริปต์ Back to the Future ให้ไมเคิลได้อ่าน
ผลที่ตามมาคือโรเบิร์ตและบ็อบได้ เอริค สโตลซ์ (Eric Stoltz) มารับบทเป็นมาร์ตี้แทน แต่หลังถ่ายทำไปได้ไม่นาน โรเบิร์ตคิดว่าเอริค สโตลซ์ไม่เหมาะกับบทนี้โดยให้เหตุผลว่าเคมีความตลกของเขาไม่เข้ากับตัวละครมาร์ตี้ สตีเวน สปีลเบิร์กจึงจำเป็นต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยเจรจากับ Universal Pictures ให้ไมเคิลได้มีโอกาสอ่านสคริปต์ และยอมให้เขามารับบทมาร์ตี้ แต่จะต้องให้ความสำคัญกับซีรีส์ Family Ties มาก่อนเป็นอันดับแรก ไมเคิลยืนยันรับบทโดยไม่อ่านสคริปต์เลยแม้แต่น้อย

เหตุการณ์หลังจากนั้นคือตารางการถ่ายทำสุดโหดสำหรับไมเคิล เขาต้องถ่ายทำ Family Ties ช่วงเช้า และต่อด้วยการเข้ากองถ่าย Back to the Future ไมเคิลมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก เขามักจะง่วงนอนเข้ากองถ่ายอยู่เป็นประจำ คนขับรถถึงกับเล่าว่าต้องแบกไมเคิลไปวางบนเตียงหลังการถ่ายทำอยู่บ่อยๆ ทีมงานถ่ายทำและตัดต่อเองก็ต้องแก้ปัญหาในบางฉากที่ไมเคิลไม่สามารถมาถ่ายได้ แต่ในท้ายที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปได้ และไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ ก็เป็น มาร์ตี้ แม็กฟลาย อย่างที่คนดูได้เห็น เป็นตัวละครที่เสริมความสนุกให้ตัวเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พูดถึงฝั่งชายไปแล้ว ฝั่งนักแสดงหญิงก็เจอความท้าทายเช่นกัน ในภาคแรกตัวละคร ‘เจนนิเฟอร์ ปาร์กเกอร์’ แฟนสาวของมาร์ตี้นั้น รับบทโดย คลอเดีย เวลส์ (Claudia Wells) แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัว เธอเลือกที่จะไม่กลับมารับบทเดิมใน Back to the Future Part II (1989) และ Back to the Future Part III (1990) ทีมงานจึงต้องแคสต์นักแสดงใหม่ จนได้ เอลิซาเบธ ชู (Elisabeth Shue) มารับบทแทน
แม้จะได้นักแสดงใหม่มาแล้ว แต่ปัญหากลับอยู่ตรงที่หนังภาคสองเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์เดียวกันกับหนังภาคแรกพอดี นั่นคือฉากที่ด็อคย้อนเวลากลับมาหามาร์ตี้เพื่อพาเขาและเจนนิเฟอร์เดินทางไปยังอนาคต เมื่อตัวละครเจนนิเฟอร์เปลี่ยนนักแสดง ทีมงานและนักแสดงจึงต้องถ่ายทำฉากเดิมใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เนื้อเรื่องต่อเนื่องกัน
ไทม์แมชชีน, วิชวลเอฟเฟ็กต์ และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ไม่บดบังการเล่าเรื่อง
Back to the Future เปลี่ยนโลกหนังไซไฟข้ามเวลาไปตลอดการด้วยความเท่และล้ำสมัย ภาพของรถ DeLorean DMC-12 กับประตูทรงปีกนก ที่ภายในประกอบไปด้วยแผงวงจรเวลาดิจิทัลและเครื่องแปรพลังงานคือภาพจำที่เราต่างคุ้นเคย มันคือไทม์แมชชีนสุดเจ๋งที่เดินทางข้ามเวลาได้ด้วยการเร่งความเร็วให้ถึง 88 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยใช้พลังไฟฟ้า 1.21 กิกะวัตต์ต่อหนึ่งครั้งการเดินทาง
แต่ไม่น่าเชื่อว่า ไอเดียแรกของไทม์แมชชีนที่โรเบิร์ตและบ็อบวางเอาไว้ในบทหนังเวอร์ชั่นแรกกลับไม่ใช่รถเดอลอเรียน แต่เป็นตู้เย็นต่างหาก ตู้เย็นไทม์แมชชีนนี้จะบุด้วยตะกั่วและใช้พลังงานจากการระเบิดนิวเคลียร์เป็นเชื้อเพลิง เดินทางข้ามเวลาด้วยการเอาตัวเข้าไปในตู้เย็น โชคดีที่โรเบิร์ตและ สตีเวน พับไอเดียนี้ทิ้งไป เพราะกลัวว่าเด็กๆ จะเลียนแบบหนังโดยการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตู้เย็นจริงๆ และติดอยู่ในนั้น

รถเดอลอเรียนคือหนึ่งตัวอย่างของการผสานระหว่างรถจริงๆ เข้ากับวิชวลเอฟเฟ็กต์และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่โดดเด่น แต่ก็ไม่เด่นจนไปดึงความสนใจจากการดำเนินเรื่อง การปรากฏตัวของรถเดอลอเรียนมีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อเรื่องทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นทั้งความตั้งใจของโรเบิร์ตและบ็อบ และความเชี่ยวชาญของสตูดิโอ Industrial Light & Magic (ILM) ที่เคยฝากผลงานไว้ในแฟรนไชส์หนังชื่อดังอย่าง Star Wars พวกเขาเข้าใจดีว่าการเพิ่มเอฟเฟกต์เข้าไปนั้นจะต้องเป็นการเสริมเนื้อเรื่องมากกว่าจะเป็นจุดเด่นที่ไปบดบังตัวเรื่อง
ข้อถกเถียงว่าด้วยเวลา และการเชื่อว่าตัวเราเปลี่ยนได้
ถ้าพูดถึงหนังเดินทางข้ามเวลา ข้อถกเถียงที่จะมาคู่กันคือ เจตจำนงเสรี (Free Will) และโชคชะตา (Fate) การขบคิดเชิงปรัชญาที่ตั้งคำถามว่า เรามีสิทธิเลือกการกระทำของเราเอง หรือความจริงแล้วชีวิตเราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ Back to the Future ตั้งคำถามนี้เช่นกัน แต่จะเอนเอียงไปฝั่งที่เชื่อว่าเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองเสียมากกว่า
อย่างที่กล่าวไปว่า Back to the Future ใช้คอนเซ็ปต์ไทม์ไลน์ที่เปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การกระทำและตัดสินใจใดๆ ก็ตามของมาร์ตี้ในปี 1955 (ช่วงเวลาที่กลับไปช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่) ก็จะส่งผลไปยังโลกปี 1985 ที่เขาจากมาด้วย เช่น การที่มาร์ตี้สร้างสถานการณ์ให้ จอร์จ แม็กฟลาย (พ่อ) แสดงความกล้าต่อหน้าลอร์เรน (แม่) ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นไปโดยปริยาย
ในปี 1985 ที่มาร์ตี้จากมา พ่อของเขาไม่เคยกล้าสู้หน้าใคร ไม่เคยชกใครมาก่อน เป็นเพียงคนที่โดนเพื่อนร่วมชั้นบูลลี่ แต่การเข้าไปยุ่มย่ามกับเวลาของมาร์ตี้และด็อคทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตร พ่อของมาร์ตี้เปลี่ยนไปเป็นคนที่มั่นใจและมีฐานะมั่นคง ตระกูลแม็กฟลายที่เคยเป็นแค่ไก่อ่อนยอมคนไม่มีอีกต่อไป การเชื่อว่าเรากำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ยังสะท้อนมาในคำพูดที่มาร์ตี้พูดกับจอร์จผู้ไม่มั่นใจว่า “ถ้าหากคุณทุ่มใจให้กับมัน คุณทำทุกอย่างได้สำเร็จแน่” (“If you put your mind to it, you can accomplish anything,”)
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแฟนหนังตั้งข้อสังเกตว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วมากกว่า หลักฐานชิ้นสำคัญที่มาสนับสนุนข้อถกเถียงนี้คือ ‘ปฏิทรรศน์โกลดี้ วิลสัน’ (Goldie Wilson paradox) เหตุการณ์ที่มาร์ตี้เจอกับโกลดี้ วิลสัน ในปี 1955 ที่ Lou’s Cafe มาร์ตี้ทักว่าโกลดี้จะได้เป็นนายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่โกลดี้ไม่เคยคิดมาก่อนในตอนนั้น การที่โกลดี้เป็นนายกเทศมนตรีในปี 1985 เท่ากับว่าความสำเร็จของโกลดี้ขึ้นอยู่กับการแทรกแซงในอนาคตของมาร์ตี้เสมอ ดังนั้น การข้ามเวลาของมาร์ตี้และด็อค ชะตากรรมของครอบครัวแม็กฟลายจึงเป็นสิ่งที่ ‘ถูกกำหนดไว้แล้ว’
พลังของเพลงและดนตรี
“You don’t need money, don’t take fame
Don’t need no credit card to ride this train
It’s strong and it’s sudden, and it’s cruel sometimes
But it might just save your life
That’s the power of love”
นั่นคือส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง The Power of Love โดย Huey Lewis and the News เพลงประจำตัวของมาร์ตี้ แม็กฟลาย แต่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงนี้ถ้า ฮิวอี้ ลูอิส (Huey Lewis) นักร้องนำและหัวหน้าวง ปฏิเสธขอเสนอที่จะเขียนเพลงให้กับ Back to the Future
หลังจากโรเบิร์ตและบ็อบเขียนบทของเรื่องเสร็จ ทั้งคู่และสตีเวน สปีลเบิร์กเดินทางไปพบกับ ฮิวอี้ ลูอิส เพื่อเล่าว่าพวกเขากำลังจะทำหนังเรื่องหนึ่งที่ตัวละครเอกมี Huey Lewis and the News เป็นวงดนตรีวงโปรต และพวกเขาอยากทาบทามให้ทางวงมาเขียนเพลงให้หนังเรื่องนี้ แต่ลูอิสไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเขียนเพลงให้หนังเรื่องไหนมาก่อน แถมไม่อยากเขียนเพลงชื่อ ‘Back to the Future’ แต่ด้วยคำยืนยันของเซเม็กคิสที่บอกให้ลูอิสเขียนเพลงอะไรก็ได้ที่อยากเขียน นั่นจึงเป็นที่มาของเพลง The Power of Love ที่วงดนตรีของมาร์ตี้ใช้ออดิชั่นสำหรับการแสดงในงานโรงเรียน

เพลง The Power of Love ฮิตติดตลาดจนพาให้ Huey Lewis and the News ขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ ในขณะนั้น
ไม่ใช่แค่เพลงฮิต Back to the Future ยังสร้างความแน่นแฟ้นระหว่างกับโรเบิร์ต เซเม็กคิสและอลัน ซิลเวสตริ (Alan Silvestri) นักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ จนทั้งคู่กลายเป็นคู่ขาที่ทำงานร่วมอย่างยาวนานในโลกภาพยนตร์ โรเบิร์ตและอลันทำงานร่วมกันครั้งแรกในหนังเรื่อง Romancing the Stone (1984) สำหรับ Back to the Future โรเบิร์ตให้บรีฟสั้นๆ กับอลันแค่ว่า “มันต้องยิ่งใหญ่” ซึ่งไม่แน่ใจว่าคือให้อิสระหรือบรีฟกว้างๆ เอาไว้ก่อนกันแน่ แต่สุดท้ายอลันก็ส่งมอบ original score ในชื่อ Back To The Future ดนตรีประกอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะตรงตามบรีฟได้รับไปเป๊ะๆ
หลังจากนั้นทั้งคู่ยังร่วมงานกันเรื่อยมา ทั้งในหนัง Back To The Future ภาคต่อ ไปจนถึงหนังดังอย่าง Forrest Gump (1994) และ Cast Away (2000)
การคาดการณ์อนาคตและอิทธิพลที่ข้ามพ้นเวลา
Back to the Future การคาดการณ์เทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างน่าทึ่ง ใน Back to the Future Part II มาร์ตี้เดินทางไปยังโลกอนาคตปี 2015 และได้พบเจอกับเทคโนโลยีสุดไฮเทคมากมาย เช่น รถลอยฟ้า, สเก็ตบอร์ดลอยพื้นที่เรียกกันว่า Hoverboard, รองเท้า Nike ที่รัดเชือกรองเท้าได้เอง, เสื้อผ้าที่ปรับขนาดตามผู้ส่วนใส่, โฆษณาหนัง Jaws แบบสามมิติ, แว่นอัจฉริยะ หรือการโทรทางไกล
แม้เราที่ผ่านปี 2015 มานับสิบปีจะรู้ว่าอะไรๆ นั้นไม่ได้ล้ำสมัยหรือเจ๋งอย่างที่เห็นใน Back to the Future Part II แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเทคโนโลยีหลายตัวในเรื่องเกิดขึ้นแล้วจริงๆ เช่น การคุยกันทางไกลแบบวิดีโอคอล แว่นตาอัจฉริยะ (Google Glass, Apple Vision Pro) การโอนเงินแบบออนไลน์ และเทคโนโลยี AR ส่วนเทคโนโลยีที่แม้จะทำไม่ได้สมบูรณ์แต่ก็เข้าใกล้กับภาพที่หนังคาดการณ์ไว้มากขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านมา 40 ปี หนัง Back to the Future และองค์ประกอบในหนังยังเป็นสิ่งที่ผู้คนหยิบยกมาพูดถึงกันอย่างไม่มีเบื่อ รถ DeLorean DMC-12 ไม่หยุดที่วิ่งไปปรากฏตัวในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่หนัง Ready Player One (2018) ยันตัวต่อเลโก้ เพลง The Power of Love เองก็ยังมีคนกลับมาเปิดซ้ำทุกปี แม้แต่การเป็นมีม หนังเรื่องนี้ก็ไม่พลาด ดูท่า Back to the Future จะไม่ใช่หนังประเภทที่จะหายไปตามกาลเวลา ตรงกันข้าม เวลาที่ผ่านไปอาจยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำมากยิ่งขึ้น
อ้างอิงจาก