หนึ่งในธีมที่ผมสนใจและมักจะเขียนถึงอยู่เสมอๆ เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น ก็คือปัญหาการเข้าสู่สังคมชราภาพ เพราะเป็นปัญหาที่เรื้อรังของญี่ปุ่นชนิดที่หลายรัฐบาลพยายามแก้ไขแต่ก็ไม่เห็นผลอะไรออกมาเป็นรูปธรรมได้เสียที อัตราเด็กเกิดใหม่ก็ลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็มีอายุยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยหลายประเทศ
กลายเป็นว่าไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ผู้สูงอายุ จนหลายเมืองก็เริ่มปรับตัวเพื่อสร้างเมืองที่ผู้สูงอายุอยู่ได้สบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาหลายเรื่องตามมา ทั้งเรื่องปริมาณของบ้านพักคนชรา รวมไปถึงปริมาณผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้ชราที่นับวันก็มีแต่คนอยากทำงานด้านนี้น้อยลงจนต้องเปิดทางให้ชาวต่างชาติเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้
แต่ปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันร้ายแรงถึงขนาดทำให้มีผู้เสียชีวิต นั่นคืออุบัติเหตุทางการจราจรที่เกิดจากผู้ขับขี่สูงอายุนั่นเอง
แม้ระบบการขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่นจะจัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เมื่อออกไปพื้นที่ต่างจังหวัดหรือในเมืองเล็ก หลายครั้งก็เป็นเรื่องลำบากถ้าต้องรอรถบัสที่มาชั่วโมงละคันเท่านั้น ปัญหานี้ผมก็เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง Uber ไปแล้ว ซึ่งพอเป็นอย่างนี้ก็ทำให้หลายคนต้องพึ่งพารถส่วนตัวเป็นหลัก แม้จะอายุมากขึ้นก็ยังต้องขับรถเอง ซึ่งก็ดีหน่อยที่ญี่ปุ่นเขาก็มีรถหลายแบบ รวมไปถึงรถอีโคคาร์ขนาดเล็ก เครื่องยนต์เล็ก ขับง่าย ปลอดภัย แต่สุดท้ายแล้วเมื่อร่างกายผู้ขับไม่พร้อม ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายครับ
ผมเคยดูรายการวิเคราะห์ข่าวที่พูดถึงปัญหาตรงนี้ ภาพที่ออกมาก็ดูน่าเป็นห่วงไม่น้อยเลยเพราะเขาเอาคลิปจากกล้องจราจรต่างๆ มาให้ดู แล้วที่เห็นก็เป็นภาพของรถยนต์ที่วิ่งบนทางด่วนแต่สวนทางชาวบ้านชาวช่องเขา ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นการวิ่งรถทางเดียวแท้ๆ ซึ่งต้นตอของปัญหาก็คือ ‘อาการจิตเสื่อม (Dementia)’ ของผู้ขับขี่สูงอายุนั่นเองครับ
พอไปไล่อ่านข่าวเก่าก็พบข่าวอุบัติเหตุที่เกิดจากผู้ขับขี่ที่อายุเกิน 65 ปีไม่น้อยเลยครับ สาเหตุอื่นนอกจากอาการจิตเสื่อม ก็คงเป็นความสามารถในการตอบสนองที่ช้าลงทำให้ตัดสินใจได้ไม่ฉับไวเท่าเก่า และหลายต่อหลายกรณีก็เกิดจากเรื่องง่ายๆ อย่างการเหยียบคันเร่งโดยนึกว่าเป็นเบรก ซึ่งภาพรวมของอุบัติเหตุก็ดูน่ากลัวไม่น้อยครับ มีทั้งกรณีขับรถพุ่งเข้าไปในร้านสะดวกซื้อโดยไม่รู้ตัว หลายต่อหลายครั้งก็เป็นการชนคนที่ข้ามถนนเพราะเบรกไม่ทัน แต่กรณีที่เป็นเรื่องใหญ่และทำให้สังคมเป็นห่วงกันมากคือเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ในจังหวัดคานากาวะ ที่คนขับอายุ 87 ปี ขับรถบรรทุกขนาดเล็กพุ่งเข้าชนแถวของนักเรียนประถม ทำให้เด็กตายไป 1 คน และบาดเจ็บอีก 7 คน
โดยที่คนขับเองก็ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อเทียบกับประเทศแถวหน้าด้วยกันแล้ว ประเทศญี่ปุ่นก็มีประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีสูงกว่าประเทศอื่น เพราะสูงถึง 25.1% (สำรวจปี 2013) ในขณะที่เยอรมนีมี 20.7% อเมริกามี 13.7% แต่พอมาดูอัตราของผู้สูงอายุที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรแล้ว ญี่ปุ่นก็พุ่งพรวดเลยครับ เพราะมีถึง 53.8% ในขณะที่เยอรมันมี 29.9% อเมริกาเป็น 16.6% เรียกได้ว่าของญี่ปุ่นไปไกลแซงชาวบ้านเขาจริงๆ
แม้ในญี่ปุ่นจะมีการจัดอบรมให้กับผู้ต่ออายุใบขับขี่ที่อายุ 70 ปี และเมื่ออายุ 75 ปีก็มีการตรวจอาการจิตเสื่อมด้วย แต่เทียบกับทางเยอรมันที่ทำให้การขอหรือต่อใบขับขี่เป็นเรื่องยากสำหรับทุกวัย เพราะการเสื่อมถอยทางร่างกายนี่ก็แล้วแต่คนนะครับ บางที 60 อาจจะขับรถแย่กว่าคน 80 ก็ได้ นโยบายนี้ก็ช่วยเพิ่มความเข้มงวดได้ ทำให้ผู้สูงอายุในหลายประเทศเลือกที่จะเลิกขับรถด้วยตัวเอง ในขณะที่ญี่ปุ่น สำหรับผู้สูงอายุหลายรายแล้ว ถ้าเลิกขับรถก็เท่ากับการต้องพึ่งพาคนอื่น ทำให้หลายคนเลือกที่จะขับรถต่อไปจนกลายเป็นปัญหาเช่นนี้
ปัญหาทั้งหลายก็ทำให้มีความพยายามของหน่วยงานรัฐที่ไม่เพียงแค่พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุ ยังมีความพยายามขอความร่วมมือให้ผู้สูงอายุเลิกขับรถด้วยการคืนใบขับขี่ ซึ่งหลังจากอุบัติเหตุในจังหวัดคานากาวะ ท่าน Taa Shinen พระอายุ 97 ปีในจังหวัดเดียวกัน ก็เข้าไปยกเลิกใบขับขี่ที่สถานีตำรวจ โดยที่ท่านบอกว่าทีแรกก็จะเก็บไว้จนอายุ 100 ปี แต่ก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเหมาะถ้าจะทำอะไรเช่นนี้เพื่อความภูมิใจของตัวเอง แม้ท่านจะขับขี่ปลอดภัยแค่ไหน และยังกล่าวเชื้อเชิญให้ผู้สูงอายุมายกเลิกใบขับขี่เช่นเดียวกับท่าน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีการพยายามจูงใจผู้สูงอายุให้มายกเลิกใบขับขี่ด้วยวิธีต่างๆ
เช่นในจังหวัดไอจิ สถานีตำรวจก็ได้ร่วมกับเครือ Sugakiya เครือราเมงชื่อดังของท้องถิ่น เมื่อคืนใบขับขี่แล้วก็จะได้เอกสารรับรอง ที่เมื่อแสดงเอกสารนี้ที่ร้าน Sugakiya ที่มีถึง 176 สาขา ก็จะได้รับส่วนลดราคาราเมงจาก 590 เยน เหลือ 500 เยน ก็เป็นการกระตุ้นที่น่ารักดีครับ ในขณะเดียวกันที่เมืองอิจิโนะมิยะ จังหวัดไอจิเช่นกัน ตำรวจก็ร่วมมือกับบริษัทที่จัดพิธีศพ มอบส่วนลด 15% ในการจัดพิธีศพให้แก่ผู้สูงอายุที่คืนใบขับขี่เช่นเดียวกัน ฟังดูเหมือนจะน่ากลัว แต่ก็เป็นส่วนลดที่สำคัญเหมือนกันนะครับ แถมเป็นเรื่องใกล้ตัวอีกด้วย
ฟังดูแล้ว แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความปวดหัวให้กับสังคม และไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็เป็นเหมือนกับลิงแก้แห แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องพยายามหาทางจัดการให้ปัญหาบรรเทาลงนั่นล่ะครับ และปัญหาผู้ขับรถสูงอายุ ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ หาตัวเลือกอื่นให้ ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ จูงใจให้ผู้สูงอายุเลิกขับรถ เพื่อผลดีต่อสังคม จะได้อยู่กันได้อย่างปลอดภัยต่อทั้งตัวผู้สูงอายุเอง ทั้งผู้อื่นที่อยู่ร่วมสังคม
อ้างอิงข้อมูลจาก