‘เด็กเกิดมาจากไหน’ อาจเป็นคำถามแรกๆ ของใครหลายคน และสมัยนี้คำตอบก็หาได้ไม่ยาก ‘ชีวิตมาจากไหน?’ คือคำถามอันยาวนานที่มนุษย์ใคร่ครวญถึงที่มาและจุดเริ่มต้นของชีวิตตัวเองมาตลอด
ในยุคนี้ ทุกคนน่าจะรู้แล้วว่า ‘เกิดมาอย่างไร’ หากลูกน้อยถามคำถามนี้ อาจเกิดสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนกับพ่อแม่ที่ไม่รู้จะบอกลูกอย่างไร เพราะอาจต้องสปอยล์ลูกเรื่อง Sex เด็กหลาย ๆ คนอาจคิดเอาเองและมีความเชื่อประหลาดๆ เช่น “แม่กินเมล็ดพันธุ์เข้าไปและมันก็โตขึ้นในท้องแม่” “แม่กินเด็กเข้าไป” “แม่กินเยอะ” “มาจากยานอวกาศ” แต่ในที่สุด เมื่อได้โตขึ้นอีกนิด เราทุกคนในยุคสมัยนี้ก็น่าจะรู้อยู่ดี ว่าเด็กเกิดมาจากการปฏิสนธิรวมตัวกันของไข่และสเปิร์ม ไม่ว่าจะผ่านการบอกของผู้ใหญ่หรือเรียนในโรงเรียน
รายการ HiHo Kids ถามเด็กจำนวน 100 คนว่าทารกมาจากไหน ได้ reaction และคำตอบที่ตลกดี
กว่าที่ความรู้เรื่อง ’จุดกำเนิดของทารก’ จะแพร่หลายกลายเป็นความรู้พื้นฐานของคนทั่วโลก ไม่ว่าจะนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา คนอัจฉริยะ หรือคนธรรมดา ในยุคก่อนหน้าล้วนหัวหมุนงุนงงว่า ‘คน’ ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไร แถมมีทฤษฎีประหลาดๆ ไม่แพ้เด็กในคลิปข้างบนเลยทีเดียว
หนังสือเรื่อง Seeds of Life โดย Edward Dolnick ได้เล่าถึง Quest การค้นหาความจริงเกี่ยวการกำเนิดของคนอย่างเข้มข้น ว่ามนุษย์ผ่านความคลุมเครือ ความเชื่อและความสงสัย ผ่านการหลงทางมาตลอดกว่าหลายร้อยปี (และก่อนหน้านั้นอีกแสนนาน) มาอย่างไรบ้าง โดยเน้นช่วงศตวรรษที่ 14-19
เด็กเกิดมาจากไหน…คำถามอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของมนุษยชาติ
นักปราชญ์ในอดีตต่างสงสัยและไม่เข้าใจการกำเนิดของคน ไม่ว่าจะเป็น อริสโตเติล, เซอร์ ไอแซค นิวตัน และ ลีโอนาร์โด ดา วินชี แต่อย่างไรก็ดี ต่อให้ไม่รู้รายละเอียด มนุษย์ในอดีตก็พอเดาได้ว่าการสร้าง ‘เด็ก’ คนใหม่ขึ้นมาบนโลกนั้นเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ ‘เซ็กซ์’ แต่นั่นก็เป็นชุดความรู้ที่คร่าวมากๆ พวกเขาไม่รู้ดีเทลในสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหากเด็กเกิดจากพระเจ้าสร้าง ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกกิจกรรมที่มีจังหวะท่าทางประหลาดและดูไม่ศักดิ์สิทธิ์นี้
แม้เราจะคิดว่าทุกมุมโลกสามารถเข้าใจได้ว่า Sex กับลูกนั้นเกี่ยวข้องกันราวกับเป็นสามัญสำนึก แต่นักมานุษยวิทยานามว่า Bronisław Malinowski ได้ไปสำรวจเผ่าในหมู่เกาะ Trobriand ที่เป็นส่วนหนึ่งของปาปัวนิวกินีในปัจจุบัน คนในหมู่เกาะนี้เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษเมื่อตายไปจะไปสิงอยู่ที่เกาะ Tuma กลายเป็นวิญญาณเรียกว่า Baloma วิญญาณนี้เหล่านี้กิน นอน ตกหลุมรัก ใช้ชีวิตตามปกติในเกาะ Tuma แต่เมื่อแก่ลง พวกเขาจะกลายเป็นตัวอ่อนและเข้าไปอยู่ในร่างของผู้หญิง ในเผ่านี้จึงไม่มีคำว่า ‘พ่อ’ ในภาษาของเผ่า แต่ใช้ชื่อเรียกว่า ‘ผัวของแม่’ แทน เมื่อ Malinowski ถามว่าใครเป็นพ่อของเด็ก คนในเกาะก็งงงวยและบอกว่า Baloma ให้ลูกกับเธอ ดังนั้น หากชายใดหายไปเป็นปี กลับมาพบภรรยาท้อง เขาก็ไม่โกรธหรือเศร้า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัดขาด SEX โดยสิ้นเชิง คนในหมู่เกาะนี้เชื่อว่าหน้าที่ของ Sex คือ ‘ช่วยเปิดโพรงให้กับหญิงสาว’ เมื่อเธอได้นอนริมทะเล วิญญาณจะได้เข้าไปในร่างเธอได้ง่ายขึ้น อาจฟังดูประหลาดเพราะเป็นความเชื่อหรือวัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นเคย และยังมีอีกหลายวัฒนธรรมทั่วโลกที่ยังเชื่อว่าแม่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลูกของตัวเอง
นักมานุษยวิทยาไปสำรวจอียิปต์ยุคปัจจุบัน ยังมีหญิงสาวยากจนจำนวนมากไม่ให้คุณค่ากับหน้าที่ของตัวเองฐานะผู้ให้ชีวิต จากความเชื่อว่า ‘ลูกนั้นเกิดจากพระเจ้า โดยที่เธอเป็นเพียงภาชนะบรรจุเท่านั้น’ หรือแนวคิดที่แพร่หลายแบบชายเป็นใหญ่คือมองว่า “ผู้ชายให้กำเนิดชีวิต ส่วนผู้หญิงคือผู้รับมา”
ทั่วโลกยังมีความเชื่อผิดๆ มากมาย เช่นคนที่เกิดมาไม่สมบูรณ์เกิดจากชีวิตอันไม่ปกติของพ่อแม่ แสงแดด แสงจันทร์ สายรุ้ง หรือเรื่องที่เล่าสืบต่อกัน ในบางสังคมสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกับการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น
ในสังคมตะวันตก ปัญญาชนถกเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นว่า ‘ผู้หญิงทำหน้าที่อะไรในการสืบพันธุ์’ เพราะอวัยวะเพศได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในร่างกายไม่แสดงออก สเปิร์มที่เล็กจิ๋ว (เล็กกว่าไข่ล้านเท่า) ถูกค้นพบก่อนไข่ แนวคิดยอดฮิตว่า ‘เด็กเกิดมาอย่างไร’ จึงได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ทาง ‘ผู้หญิงเป็นผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์’ หรือ ‘ผู้หญิงเป็นเหมือนสัตว์เพศเมีย’ กันแน่นะ
1. แนวคิดแบบ One Sex, Two Semen เพราะคนเพศหญิงและชายนั้นคล้ายกันมาก สิ่งเดียวที่แตกต่างชัดเจนคืออวัยวะสืบพันธุ์ หากผู้ชายผลิต semen หรืออสุจิ ผู้หญิงก็ย่อมต้องผลิต semen ของเพศหญิงเช่นกัน อริสโตเติลเชื่อว่าของเหลวของผู้หญิงที่เทียบเคียงกับเพศชายนั้นคือประจำเดือน ดังนั้นเขาจึงเสนอว่า ทารกเกิดจากการปรุงของเหลวทางเพศสองชนิดเข้าด้วยกัน โดยผู้ชายเป็นผู้สร้างชีวิต ในขณะที่ประจำเดือนนั้นเป็นแหล่งอาหารของตัวอ่อน
2. แนวคิดแบบทารกเกิดจากไข่ หากสัตว์มีไข่ ผู้หญิงก็ต้องมีไข่เช่นกันเพียงแต่ยังหาไม่พบ เมื่อส่อง Anatomy ของสัตว์ปีกก็พบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเกิดจากไข่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและคนก็คงจะมีไข่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อ William Harvey ผู้ค้นพบว่าหัวใจมีหน้าที่เป็นปั๊มสูบฉีดโลหิต ได้ชำแหละกวางที่เพิ่งผสมพันธุ์ เขากลับไม่พบอะไรเลย ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่ที่ไหน (เนื่องจากเล็กมาก ไข่มีขนาดใหญ่เท่าจุด . นี้เท่านั้น)
ที่มาของศัพท์ของคำว่า Semen (อสุจิ) แปลว่า Seed (เมล็ดพันธุ์)
ความเชื่อที่แพร่หลายอย่าง ‘อสุจิ’ คือเมล็ดพันธุ์ (Seeds) แห่งชีวิตจากเพศชาย ดังนั้น ผู้ชายคือผู้ให้ชีวิตกับลูกที่แท้จริง เพศหญิงเป็นเพียงผืนดินที่เมล็ดถูกเอามาฝังให้เติบโต ความเชื่อแนวนี้ยังมีอยู่ในสังคมหัวเก่าหลายๆ แห่งบนโลกที่ยังมีความเชื่อแพร่หลายว่า ผู้หญิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเด็ก เป็นเพียงผู้พยาบาลและคลอดเท่านั้น หากมีแนวคิดเช่นนี้มีผลต่อการมอง Role ของเพศหญิงในสังคมนั้นๆ ว่าเป็นแค่วัตถุหรือที่พึ่งพิงให้ทารกมาอาศัยอยู่ ไม่ได้ให้และกำหนดลักษณะชีวิตลูก แต่หากผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดและสร้างเด็ก แล้วทำไมลูกจำนวนมากถึงมีลักษณะคล้ายแม่ตัวเอง
หากสังคมถือแนวความคิดที่ดูถูกและมีอคติกับหน้าที่ของเพศหญิง การเข้าใจในชีววิทยาของผู้หญิงก็ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและสังคมที่ปฏิบัติต่อสตรีด้วย
ผ่าคน ฆ่ากวาง ใส่กางเกงให้กบ : ภารกิจค้นหาไข่และสเปิร์ม
ในยุคแรกเริ่ม การจะเข้าใจร่างกายคนต้องเกิดจากการชำแหละคนตายเพื่อสำรวจตรวจส่อง แต่เมื่อผ่าไปก็ไม่พบอะไรเลย คลีโอพัตราเคยสั่งประหารทาสหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ เพื่ออยากสำรวจให้พบว่ามนุษย์มาจากไหน แม้การผ่าร่างกายผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องไม่สมควรทำ เพราะหมิ่นประมาทผู้ตาย คริสตจักรก็เป็นห่วงว่าการผ่าร่างคนตาย จะทำให้เขาไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ตามในศาสนา มนุษย์ช่างสงสัยหลายคนก็ฝ่าฝืนข้อห้ามของสังคมเพื่อหาคำตอบที่เขาสงสัย
Hippopocrates บิดาแห่งการแพทย์ ไม่เคยผ่าศพคนสักร่างในสมัยของเขา ข้อสันนิษฐานของเขาเกิดจากการผ่าร่างของสัตว์ต่างๆ
ลีโอนาร์โด ดา วินชีต้องผ่าชำแหละศพอย่างแอบซ่อนเพื่อศึกษา Anatomy ของมนุษย์ เขามักทำลับๆ โดยใช้ร่างของอาชญากรที่ถูกประหารชีวิต ในปี 1490 เขาได้วาดภาพ sketch หญิงชายร่วมเพศ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทารกกลายเป็นร่างขึ้นมาได้อย่างไรในมดลูกนั้น เขาวาดภาพอสุจิจากอวัยวะเพศชายเชื่อมกับกระดูกสันหลังที่ต่อมาจากสมอง เขาเชื่อว่าสมองกับอวัยวะเพศชายนั้นเชื่อมต่อกันทางใดทางหนึ่ง
คู่มือเกี่ยวกับเซ็กซ์ในจีนโบราณก็มีความเชื่อคล้ายๆ กันกับดา วินชี คืออ้างอิงระบบประสาทว่าเกี่ยวข้องกับนํ้าอสุจิ และในลัทธิเต๋า พวกเขาเชื่อว่ามันมีประโยชน์หากชายใดรักษานํ้าอสุจิของเขาไว้เพื่อให้มันไหลกลับไปสู่สมอง
พัฒนาการของทฤษฎีของการกำเนิดคนเล่าคร่าวๆ ตามปีคริสตศักราชได้ ดังนี้
1490 Leonardo Da Vinci วาดภาพหญิงชายร่วมเพศ อสุจิมาจากท่อที่ต่อกับไขสันหลังเชื่อมไปสมอง
1628 William Harvey ค้นพบว่าหัวใจเป็นปั๊มสูบฉีดเลือด
1651 William Harvey ประกาศว่าสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งเกิดจากไข่ เขาผ่ากวางที่เพิ่งผสมพันธุ์ไม่กี่วัน แต่ไม่พบอะไร แต่ก็เขียนหนังสือเสนอไอเดียว่าหากสัตว์อื่นเกิดจากไข่ มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมย่อมเกิดจากไข่เช่นกัน
1669 Jan Swammerdam ถกเถียงว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งมีชีวิตมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยสิ่งมีชีวิตใหม่ซ้อนอยู่ข้างในกันไปเรื่อยๆ (เหมือนตุ๊กตารัสเซีย)
1672 Regnier de Graaf ผ่าตัดกระต่ายหลังจากผสมพันธ์ และพบถุงไข่ (Follicle) (แต่ไม่ใช่ไข่) เมื่อนำเสนอแนวคิดของเขาออกไป นักเขียนและปัญญาชนในยุคนั้นที่มองว่าเพศหญิงด้อยกว่าเพศชาย จึงไม่เห็นด้วยว่าไข่ของเพศหญิงจะสร้างและให้ชีวิตได้
1674 – 1677 Anthony van Leeuwenhoek เห็นสัตว์เล็กๆ จำนวนมากในนํ้า หลังจากร่วมรักกับภรรยาเขาจึงนำอสุจิของตัวเองไปส่องกล้องจุลทรรศน์ เจอสัตว์เล็กๆ คือ Spermatozoa เป็นล้านๆ ตัว แต่การค้นพบของเขาก็ยังไม่ทำให้ทฤษฎีว่าเด็กเกิดอย่างไรก้าวหน้า ถูกเมินว่าเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ ที่พบในที่อื่นเช่นแหล่งนํ้า
1694 Nicolas Hartsoeker วาดภาพคนตัวจิ๋วถูกบรรจุอยู่ในภายเซลล์สเปิร์มเป็นคนสำเร็จรูปที่ว่ายไปฝังไว้ในมดลูก เสนอทฤษฎี Preformationism แนวคิดของเขาสนับสนุนแนวคิดว่าคนสำเร็จมาจากชายนำไปฝากไว้ในเพศหญิง ฝั่งเชียร์สเปิร์ม (Spermist) กับเชียร์ไข่ (Ovist) แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าคนเกิดจากไข่หรือสเปิร์ม
1770s Lazzaro Spallanzani นำกบเพศชายใส่กางเกงที่เย็บไว้เพื่อเก็บนํ้าเชื้ออสุจิ นำไปผสมกับกับไข่
1827 Karl Ernst von Baer ค้นพบไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นครั้งแรก (เป็นของสุนัข) เขากลายเป็นบิดาของ Embryology
1830s – 1860s Cell Theory หรือทฤษฎีสิ่งมีชีวิตประกอบขึ้นจากเซลล์ได้แพร่หลายกลายเป็นความคิดยอดนิยม
1875 Oscar Hertwig ได้ประจักษ์พยานเห็นการรวมตัวกันระหว่างไข่และสเปิร์มกลายเป็นเซลล์เดียว บทสรุปคือ ผู้ให้ชีวิตไม่ใช่แค่เพศหญิงหรือเพศชายดังที่ถกเถียงกันมายาวนานเป็นร้อยปี แต่คือจากหญิงและชายอย่างละครึ่ง
ขนาดเมื่อมนุษย์สามารถส่องกล้องจุลทรรศน์พบสิ่งมีชีวิตเล็กๆในอสุจิแล้ว การค้นพบไข่ยังตามช้าเป็นร้อยปี นั้นเพราะคนยังติดกับความเชื่อแบบเดิม จนกระทั่งมีทฤษฎีเซลล์ จึงเริ่มเกิดการต่อจุดและค้นหาไข่ หลังจากที่หลงทางไปๆ มาๆ หลายหน
กว่าจะมาเป็นความรู้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาพื้นฐาน คนรุ่นก่อนหน้าเราอาจใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีประกอบจากคนหลายๆ คนต่อยอดกันและกันจนหาคำอธิบายสิ่งที่ดูเหมือนใครๆ ก็รู้ ได้อย่างถูกต้องไม่มโน จากทฤษฎีมากมายได้ถูกพิสูจน์ ท้าทาย ตรวจสอบจนกลายเป็น Fact สำเร็จรูปให้เราสืบค้นได้รวดเร็วในวันนี้
เมื่อค้นพบคำตอบใดแล้วก็จะมีคำถามใหม่ตามมาไม่รู้จบ เพราะมนุษย์ไม่หยุดเดินต่อและไม่หยุดสงสัย หลังจากพบว่าคนเกิดมาอย่างไร คำถามต่อไปคือ แล้วรู้ได้อย่างไรว่า เซลล์ 1 เซลล์ จะเกิดมาเป็นคน หรือช้าง หรือกระต่าย หรือแกะ ฯลฯ การสืบเสาะเข้าใจกลไกพันธุกรรมก็ตามมาจนก้าวหน้าไปมากจากจุดเริ่มต้น
การคุมกำเนิดได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างยิ่งใหญ่ เพราะมีผลกับโครงสร้างของประชากรทั้งโลก เซ็กซ์ กับ การมีลูกสามารถแยกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง เราไม่ต้องมีลูกเมื่อมี Sex และขณะเดียวกัน เราอาจมีลูกโดยไม่ต้องอาศัย Sex ก็ได้ ครอบครัวในสมัยปัจจุบันก็อาจไม่ใช่พ่อ-แม่-ลูกอีกต่อไป อาจจะเกิดจากพ่อ 3 คน แม่ 2 คนก็เป็นได้ด้วย Assisted reproductive technology และในอนาคตเราอาจสร้างระบบให้เครื่องมือตั้งครรภ์แทนคนและสัตว์ก็ได้ หรือตัดแต่งพันธุกรรมลูกในครรภ์ได้หากมีความเสี่ยงต่อโลกร้าย เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่าบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Spotify มีบริการแช่ไข่ไว้ให้กับพนักงาน เผื่อวันใดวันหนึ่งอยากมีลูกในอนาคตจะได้มีไข่ที่แข็งแรงจากร่างกายในวัยเจริญพันธุ์เก็บไว้สร้างทารกเมื่อพร้อมและพอใจ
John Keats กวีหนุ่มแสนเศร้าแห่งยุคโรแมนติก แต่งบทกวี Lamia แสดงออกถึงความรู้สึกดูแคลนวิทยาการ มองว่า ‘วิทยาศาสตร์เป็นปรัชญาอันเย็นชืดไร้จิตใจ’ (Cold Philosophy) แต่กระบวนการวิทยาศาสตร์ก็ให้คำตอบ ให้ทางเลือก และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มนุษยชาติทั้งดีและร้าย การพยายามหาคำตอบอย่างไม่ลดละจากรุ่นสู่รุ่น หรือการนั่งมองเหม่อสงสัยในคำตอบที่คนยุคถัดไปอาจงงว่าทำไมแค่นี้คิดไม่ได้ อาจเป็นเรื่องที่โรแมนติกช่างฝันมากๆ ก็เป็นได้
คุณอาจคิดว่าความรู้เป็นสิ่งสำเร็จรูปอันเรียบง่าย เสิร์ช Google เอาก็ค้นพบความจริงได้ใน 30 วินาที แต่กว่าจะได้ข้อเท็จจริงต้องผ่านความไม่รู้มาก่อน ผ่านชุดความเชื่อและข้อสันนิษฐานประหลาดๆ ที่ดูน่าขัน ผ่านกระบวนการการค้นหา ทดสอบ และข้อถกเถียงอันยาวนาน
บางคนอาจรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ท้าทาย เพราะมนุษย์ได้รู้ เข้าใจและค้นพบทุกสิ่งแล้ว ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ เช่น ไอเดียเกิดมาอย่างไรจากก้อนสมองเปียกชื้นนิ่วในหัวของเรา ความทรงจำบรรจุอย่างไรในเซลล์ประสาทยุบยับ อัลไซเมอร์เกิดได้อย่างไร ฯลฯ
หลายเรื่องที่คนในยุคเราฉงนสงสัยว่าเกิดขึ้นอย่างไร คนยุคถัดจากเราอาจพบคำตอบอันเรียบง่ายที่คนในยุคเรายังจินตนาการไม่ออก ในยุคหน้าปริศนาของยุคเราอาจกลายเป็นความรู้ที่ใครๆ สืบค้นได้ในเสี้ยววินาที จนเด็กน้อยยุคถัดจากเราต้องงงสงสัยว่า ‘แค่นี้ทำไมคนสมัยก่อนไม่รู้นะ’
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Lamia. Keats, John. 1884
http://www.bartleby.com/126/37.html - ที่มาของคำว่า ‘Semen’
https://www.etymonline.com/word/semen - The Cosby Show ตอน Where do babies come from?
https://www.youtube.com/watch?v=bGK9Sar_EpE - หนังสือ The Seeds of Life: From Aristotle to da Vinci, from Sharks’ Teeth to Frogs’ Pants, the Long and Strange Quest to Discover Where Babies Come From by Edward Dolnick
https://www.amazon.com/Seeds-Life-Aristotle-Strange-Discover/dp/0465082955 - Leonardo da Vinci and the origin of semen by Denis Noble, Dario DiFrancesco, Diego Zancani
http://rsnr.royalsocietypublishing.org/content/68/4/391 - Where Do Babies Come From. IN 2016! ทารกไม่จำเป็นต้องเกิดจากพ่อแม่รักกันแล้วมีลูกเสมอไป ภาพของครอบครัวสมัยใหม่ อาจจะเกิดจากการ Adoption หรือวิธีอื่นๆ ก็ได้
https://youtu.be/WYAZD0pUVSo