“ในโลกของมาเลย์เธอเป็นดั่งปีศาจ ในโลกของเอลเดียเธอเป็นดั่งพระเจ้า โลกนี้น่ะไม่มีความจริงแท้หรอก ในความเป็นจริงทุกคนสามารถเป็นพระเจ้าและปีศาจได้ทั้งนั้น เพียงแค่รอใครซักคนมาตัดสินเท่านั้นเองว่าจะให้ความจริงเป็นอะไร”
Attack on Titan เป็นเรื่องราวที่เน้นในเรื่องของมุมมองแบบอัตวิสัย (Subjective) หรือมุมมองส่วนบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และภววิสัย (Objective) หรือความเป็นจริงจริงๆที่เกิดขึ้นโดยปราศจากมุมมองและอคติจากบุคคล และเรื่องราวของ ยูมีร์ ฟริตซ์ ก็เช่นกัน เอเรน ครูเกอร์ (Eren Kruger) เคยกล่าวไว้ถึงบรรพบุรุษ ยูมีร์ ฟริตซ์ (Ymir Fritz) ไททันตนแรกผู้มีบทบาททั้งทำให้สายเลือดเอลเดียมีความยิ่งใหญ่เกรงขามและถูกโลกเกลียดแค้นในเวลาเดียวกันเอาไว้เช่นนี้ ซึ่งนั่นดูจะเป็นมุมมองที่เป็นกลางที่สุด
แต่ในความเป็นจริงคนทั่วไปหามองเช่นนั้นไม่ เด็กสาวคนหนึ่งแม้จะตายจากโลกนี้ไปเป็นพันปีแล้ว ชื่อของเธอจึงยังถูกนำไปพูดถึงทั้งแง่ลบและแง่บวกจากผู้คนมากมาย บ้างก็ว่าเธอคือยูมีร์ผู้ยิ่งใหญ่ บ้างก็ว่าเธอคือต้นกำเนิดของปีศาจร้าย แต่แท้จริงแล้วเมื่อตัดมุมมองส่วนบุคคลพวกนั้นออกไปให้หมด ในความเป็นจริงกับมุมมองที่เธอนิยามตัวเองแล้ว เธอคือใครกันล่ะ?
(บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญอนิเมะ Attack on Titan ตอนล่าสุด)
เรื่องราวทั้งหมดของมหากาพย์สงครามไททันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความสูญเสีย และความเป็นจริงที่ถูกปิดบัง ดัดแปลง หรือไม่ได้กล่าวขาน เริ่มต้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ด้วยโศกนาฏกรรมของเด็กสาวคนหนึ่ง
ก่อนที่จะได้รับนามสกุล ‘ฟริตซ์ (Fritz)’ ยูมีร์เป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ธรรมดาในที่นี้ไม่ใช่คำหมายในเชิงที่แย่หรือไม่มีอะไรดี แต่เป็นธรรมดาประเภทปกติสุข และสามารถใช้ชีวิตที่เรียกว่าชีวิตได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เมื่อกษัตริย์ฟริตซ์แห่งสายเลือดเอลเดีย (Eldia) โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ (out of nowhere) บุกยึดเคลมหมู่บ้านของเธอ เผา ฆ่าฟันผู้คน ปล้น แย่งชิง จับผู้คนเป็นทาส และสังหารพ่อแม่กับพรากความสามารถในการพูดหรือมีสิทธ์มีเสียงด้วยการตัดลิ้นไป หลังจากนั้นชีวิตของยูมีร์ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
ยูมีร์ได้กลายมาเป็นยูมีร์ ฟริตซ์ หรือใช้นามสกุลของคนที่โหดร้ายกับเธอและครอบครัว จากการที่มีคนปล่อยหมูออกจากคอกแล้วกษัตริย์ฟริตซ์ต้องการหาตัวผู้กระทำผิด ชาวบ้านจึงได้ชี้นิ้วไปยังเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่พูดไม่ได้ และต่อให้พูดได้ก็ไม่มีสิทธิ์จะเถียงอะไรผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่จำนวนมากที่คนหนึ่งชี้นิ้ว และอีกคนชี้ตามเพราะไม่ต้องการถูกควักลูกตาจนกลายเป็นเสียงจำนวนมากที่คอนเฟิร์มว่าเธอทำ
เกี่ยวกับเรื่องการปล่อยหมูที่เป็นชนวนสำคัญกับชะตากรรมของยูมีร์ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่อนิเมะและมังงะหรือการ์ตูนต้นฉบับเล่าไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้เกิดประเด็นคนละแบบ
ในมังงะนั้นไม่ได้มีฉากให้เห็นว่าใครเป็นคนปล่อย หรือไม่ได้ให้เห็นแม้แต่คอกหมู จู่ๆ เราจะได้เห็นการเรียกชาวบ้านมารวมเพื่อหาคนผิดทันที ในขณะที่อนิเมะมีการจงใจใส่นายหน้าหนวดคนหนึ่งที่ถือขวานเข้ามาเพื่อให้คนดูทุกคนเข้าใจตรงกันว่ายูมีร์ไม่ได้เป็นคนปล่อยแต่โดยใส่ร้าย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบแบบแรกมากกว่าตรงข้อความชัดเจนที่ไม่ให้เราได้เห็นอะไรเลย เพราะการที่ไม่เห็นก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจต่างกับอนิเมะที่ใส่นายคนนี้เข้ามา และการที่ไม่ได้เห็นยังเป็นการบ่งบอกด้วยว่า’ไม่สำคัญ’
ไม่สำคัญว่ายูมีร์จะปล่อยจริงมั้ย ต่อให้ไม่ได้ทำจริง ถ้าทุกคนพูด ซึ่งเป็นควบคุมความจริงและการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเสียงข้างมาก ก็คือเธอทำจริงในสายตากษัตริย์ฟริตซ์
หรือต่อให้เธอทำจริงเพราะต้องการปล่อยให้สัตว์ที่น่าสงสารให้ได้เป็นอิสระไม่เหมือนเธอที่ต้องตกเป็นทาสในคอกที่มองไม่เห็นเช่นนี้ มันก็ไม่สำคัญเพราะแม้ทุกคนไม่เห็น ก็จะชี้เธออยู่ดี
และไม่สำคัญว่าใครที่ชี้นิ้วคนแรกไม่ว่าจะเป็นหน้าหนวดที่ต้องการพ้นผิดหรือชาวบ้านซักคนที่หวาดกลัวจนต้องทำเรื่องสกปรก เพราะนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่ชี้นิ้วในเมื่อพวกเขาต้องการโบ้ยใครซักคนที่ดูเหมาะที่สุดที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นไปจากสถานการณ์น่ากลัวนี้ สุดท้ายทุกคนก็ชี้ตามๆ กันอยู่ดี
เด็กหญิงยูมีร์จึงได้รับอิสรภาพจากษัตริย์ฟริตซ์ แต่ทว่าอิสรภาพนั้นคืออิสระที่จะหนีตายโดยถูกตามล่า ในวาระสุดท้ายก็ยังไม่วายเป็นวัตถุมนุษย์ที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้กดขี่ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในเกมกีฬาแห่งการล่า
แต่แล้วระหว่างที่เธอหนี ความตลกร้ายก็ได้เกิดขึ้น ยูมีร์ได้ตกไปยังโพรงต้นไม้บรรพกาลขนาดยักษ์ และข้างใต้นั้นเธอได้รับพลังของไททันตัวแรกที่ภายหลังถูกเรียกว่า ‘ไททันบรรพบุรุษ (Founding Titan)’ มาครอบครอง แล้วได้กลายเป็นมนุษย์ยักษ์สูงสิบกว่าเมตรที่สามารถเหยียบทำลายพื้นให้จมและสังหารกษัตริย์ฟริทซ์ได้โดยง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย และที่บอกตลกร้ายก็เพราะเรื่องราวกลับตาลปัตร หน้าถัดไปไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เด็กหญิงตัวเล็กๆ ถือครองพลังที่สามารถสังหารคนที่พรากทุกอย่างไปจากเธอได้และน่าจะเคียดแค้นกลับเลือกกลับมาหากษัตริย์ฟริตซ์และสวามิภักดิ์แต่โดยดี เพื่อบอกเขาแบบนัยๆ ว่าเธอมีประโยชน์กับเขา
ทำให้หลังจากนั้นยูมีร์ไม่ได้แค่เป็นผู้ต่ำต้อยกว่าที่จะทำหน้าที่ใช้แรงงานและรับใช้กษัตริย์ แต่ยังตกเป็น ‘เครื่องมือ’ ในฐานะผู้ช่วยสร้างอารยธรรมสิ่งปลูกสร้างให้แก่อาณาจักรเอลเดียที่เธอควรจะขยะแขยง และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นอาวุธสงครามที่ช่วยแผ่ขยายความยิ่งใหญ่อันเลวร้ายนี้ รวมถึงสร้างความน่าหวาดกลัว ก่อให้เกิดการสูญเสียจากการฆ่าแกงฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันอย่างที่เธอเคยเจอมากับตัวอีกด้วย
ทีนี้ว่ากันด้วยเรื่องของพลังแห่งไททัน อะไรคือพลังไททันบรรพบุรุษ? และเหตุใดมันจึงไปอยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์?
เรื่องนี้ไม่ได้มีการระบุชัดในเนื้อเรื่องหรือให้รายละเอียดลงลึกมากไปกว่าฉากที่ไม่ได้มีตัวอักษร แต่การที่เว้นว่างไว้แบบนี้นำมาสู่การตีความได้อย่างอิสระ และที่ดูจะเข้าท่าและเป็นไปได้ที่สุดคือพลังไททันคือ ‘พลังแห่งโลก (power of earth)’ หรือเป็นการอุปมาอุปมัยถึงชีวิตที่โลกได้ให้กับเรา เพราะอย่างที่รู้กันดีว่ามนุษย์นั้น เกิดมาจากการที่จักรวาลเกิดหลังบิ๊กแบง ทำให้เกิดเป็นกาแล็กซี ระบบสุริยะ และโลก จากนั้นพอโลกฟอร์มตัวและสภาพแวดล้อมกับมีระบบนิเวศและอุณหภูมิที่เหมาะสม จึงเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต และพัฒนามาเป็นมนุษย์
จึงกล่าวได้ว่า หากตัดพลังไททันออก ตามลำพังมนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่โลกสร้างมา ก็เต็มไปด้วยความสามารถในการใช้ร่างกายและสมองที่จะคิดและทำอะไรได้เองอยู่แล้ว เช่น สร้างอารยธรรม กำหนดเงื่อนไขในการอยู่ร่วมกัน และหล่อเลี้ยงชีวิต หรือทำลายอารยธรรม คิดถึงแต่ตัวเอง และพรากชีวิตผู้อื่น แต่โลกและจักรวาลไม่ใช่บุคคลที่จะมีความคิดเช่นว่า สร้างมนุษย์มาเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่ง หรือจะสะใจพอใจหรือผิดหวังไปกับการกระทำของมนุษย์ เพราะการเกิดขึ้นของเราเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเอง ณ จุดจุดหนึ่ง ไม่ใช่เพราะจุดประสงค์เฉพาะ แต่ถ้าโลกและจักรวาลพูดได้ก็คงพูดกับมนุษย์ว่า “สร้างให้ชีวิต ร่างกาย อวัยวะ กับสมองให้แล้วนะ ที่เหลืออยู่ที่พวกเจ้าแล้วล่ะ ว่าจะวิวัฒนาการและปฏิบัติต่อกันกับปฏิบัติต่อสถานที่ที่ให้อาศัยอยู่แบบไหน”
พลังไททันก็เช่นกัน เมื่อนำมาเทียบกับชีวิตที่ดาวดวงนี้สร้างให้กับเรา มันก็คือพลังที่เป็นอุปมาอุปมัยของชีวิตที่ถูกโลกสร้างขึ้นมาในแง่สมการที่ไม่ได้คงที่หรือไม่ได้ออกแบบมาตายตัวให้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้มันทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย
การตกลงไปของยูมีร์จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่ว่า นี่คือการกลับไปยังจุดกำเนิด และสร้างความตระหนักว่าจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อันโหดร้ายของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันเองเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป มันคือทางที่มนุษย์เลือกเองไม่ใช่พระเจ้าหรือพลังไททันสั่งให้ทำ และมันจะเป็นวงจรที่ไม่จบไม่สิ้นหากมนุษย์ใช้พลังนี้ด้วยอารมณ์และความต้องการโดยที่กดทับให้ผู้อื่นอยู่ด้านล่าง
เรื่องต่อมาที่ควรพูดถึงคือเรื่องของ ‘ชื่อและนามสกุล’ ในสมัยนั้นจนถึงสมัยนี้ สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงมาตลอดและจะเป็นต่อไปคือผู้คนให้ค่าสิ่งสมมติที่เรียกว่าชื่อและนามสกุล ตระกูลที่มีชื่อเสียงจะได้รับความเคารพนับถือ กล่าวขาน นำไปยกตัวอย่าง และอีกมากมาย จะเห็นได้ว่าตอนนี้มีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างมีนัยสำคัญ ตรงที่เราไม่รู้ชื่อกษัตริย์ฟริตซ์ ส่วนยูมีร์เราก็ไม่รู้นามสกุลของเธอ
แต่สมัยสองพันปีที่แล้วใน Attack on Titan สมัยนั้นหรือในทางประวัติศาสตร์แล้ว มันเป็นอะไรที่แสดงถึงความห่างชั้นของชื่อและนามสกุลได้อย่างชัดเจน การที่ยูมีร์ไม่มีนามสกุลก็เพราะมันไม่สำคัญว่าเธอเป็นใครมาก่อน แต่เธอถูกจดจำในชื่อ ‘ยูมีร์ ฟริตซ์’ หรือบรรพบุรุษของสายเลือดเอลเดียผู้ถือครองพลังไททัน ภายหลังจึงมีการใช้ชื่อของเธอและมีการกระทำการต่างๆ ภายใต้ชื่อของเธอ เช่นการทำสงคราม อ้างความยิ่งใหญ่ หรือเคารพบูชาและเรียกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่ายูมีร์จากนั้นก็กราบไหว้ในฐานะตัวแทน
ในขณะที่กษัตริย์ฟริตซ์ไม่มีชื่อเพราะหมอนี่เป็นเพียงตัวแทนของตระกูลนี้เท่านั้น เขาอาจเป็นคนแรกที่ใช้สกุลฟริตซ์หรือได้มาจากพ่อแม่ที่ได้มาจากปู่ย่า ทวด หรือทวดของทวด อีกที และมีความเป็นไปได้เป็นพันๆ หมื่นๆ เกี่ยวกับชื่อของเขา สิ่งที่สำคัญคือนายคนนี้สร้างความยิ่งใหญ่ให้ตระกูลตัวเองแบบผิดๆ และนามสกุลนี้เป็นที่ภาคภูมิใจในยุคที่ไร้อารยธรรมเช่นยุคนั้น แต่ในปัจจุบันคือนามสกุลที่คนต่างก็ก่นด่าแบบสาดเสียเทเสียจนถึงสาปแช่ง เหมือนที่ในโลกความจริงการสืบต่อนามสกุลดังทำให้นามสกุลขจรไกลจากการขยายครอบครัว แต่อยู่ที่ผู้ใช้มันว่าจะทำให้มันสวยงามหรือเน่าเฟะ
อีกอย่างคือการวาดภาพในตอนนี้เองที่ทำให้ไม่เห็นแววตาตัวละครเหมือนๆ กันหมด ก็ยังเป็นการเสริมประเด็นนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อที่จะบอกว่าพวกเขาคือใครไม่สำคัญ พวกเขาเป็นเพียงบุคคลในอดีต แต่มันสำคัญที่ในปัจจุบันผู้คนตอนนี้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนในช่วงเวลานั้นขนาดไหน
ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นกับยูมีร์เองก็แสดงถึงค่านิยมชายเป็นใหญ่หรือปิตาธิปไตย (Patriarchy) ของสมัยนั้น อันเกิดมาจากมุมมองต่อสรีระของทั้งสองเพศสภาพ ที่เพศหนึ่งมักมีส่วนสูงมากกว่า แข็งแรงกำยำกว่า ทนต่อสภาพแวดล้อมและความเหน็ดเหนื่อยได้มากกว่า และมีความสามารถในการประกอบอาชีพกับทำปศุสัตว์กว่า
แต่ในขณะเดียวกันทางฝั่งเพศหญิง พวกเธอในสมัยก่อนต้องอยู่บ้านก็เพราะสรีระช่วงตั้งครรภ์ที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกและสามารถให้นมลูกได้ ซึ่งนั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้ชายสมัยก่อนผูกติดเพศหญิงกับงานในบ้านและปิดโอกาสพวกเธอไม่ให้แสดงฝีมือ โดยที่เพศชายในสมัยนั้นกลับเพิกเฉยความเป็นจริงที่ว่าเพศหญิงมีส่วนในการสรรค์สร้างหรือการผลิตอันต่อให้เกิดความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและอารยธรรมเช่นกัน
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตัวละครยูมีร์ ฟริตซ์ เป็นตัวละครเพศหญิง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของมารดาที่ให้กำเนิดลูกหลานที่จะเติบโตเป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลก และเพื่อแสดงให้เห็นถึงการกดขี่เพศหญิงในสมัยนั้น ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยูมีร์ ไม่ว่าจะเป็นการที่กษัตริย์ฟริตซ์บอกว่า “ทำได้ดีมาก ข้าจะมอบน้ำเชื้อของข้าให้เจ้าเป็นรางวัลตอบแทน เจ้าทาส” บ้างแหละ “ข้าจะให้เจ้าใช้นามสกุลข้าและจงให้กำเนิดบุตรแก่ข้า” บ้างแหละ โดยที่เขายังใช้ประโยชน์จากเธอจนหยดสุดท้ายด้วยการให้ลูกสามคนที่เป็นที่มาของชื่อกำแพงทั้งสามชั้น กินร่างกายผู้เป็นแม่เพื่อสืบทอดพลังไททัน โดยไม่ได้มีความเสียใจจากการจากไปองเธอแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะปกป้องตัวเขาจากการโดยลอบสังหารก็ตาม
และเมื่อนั้นที่กายหยาบสลาย จิตของยูมีร์ก็ได้ย้ายไปอยู่ในสถานที่เหนือพื้นที่และกาลเวลาอย่าง ‘สายธาร (The Path)’ ที่เชื่อมโยงทุกชีวิตที่เป็นลูกหลานของเธอไว้ด้วยกัน ณ สถานที่แห่งเดียว โดยมีลูกสาวสามคนแรกเป็นไททันที่สืบทอดพลังต่อจากเธอ ทำให้เกิดทางแยกเป็นสามทาง ก่อนที่ภายหลังจะแตกแขนงไปอย่างอยากที่จะนับตามจำนวนลูกหลานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับตัวเลขปริมาณความกลัวที่ลูกมีต่อเชื้อสายของเธอ
ยูมีร์เป็นตัวละคร no one ในฐานะเด็กหญิงคนหนึ่ง และกลายมาเป็น someone อย่างน่าสงสารด้วยนามสกุลฟริตซ์การถูกพูดถึงในหลายความหมายตามมุมมอง ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้าผู้สร้าง ปีศาจผู้ขายวิญญาณมาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่ รวมไปถึงเป็นตัวอย่างกุลสตรีที่ในหนังสือเรียกเธอว่า ‘คริสต้า (Krista)’ น่าเศร้าที่ไม่ได้มีใครรู้จักจริงๆ เลยว่า ยูมีร์เป็นใคร แต่ตัดสินเธอไปแล้ว แถมยังใช้ชื่อเธอในการเรียกสายเลือดไททันในเชิงชั่วร้ายว่า ‘ลูกหลานยูมีร์’ อีกด้วย สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือยูมีร์รู้จักการกดขี่มาตลอดชีวิต เธอถูกกดขี่ให้เป็นกุลสตรีตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกสาว เธอถูกทำให้เป็นทาส เธอถูกทำให้เป็นแหล่งกำเนิด เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือและอาวุธสงคราม
ยูมีร์อยู่อย่างทาสและตายไปด้วยสถานะทาส และแม้จะจากไปแล้วเธอก็ยังคงอยู่ในสายธารคอยปั้นไททันทุกตัวเรื่อยไปอย่างไม่จบไม่สิ้นหรืออย่างชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะทั้งชีวิตเธอรู้จักแค่ ‘การเป็นทาส’ และ ‘การรับใช้’
ใครจะเคยคิด (โดยเฉพาะคนที่กินไขสันหลังสืบทอดพลังไททันต่อๆกันมาไม่คิดและไม่น่าจะสนใจแน่ๆ) ว่าตลอดสองพันปีมานี้ เบื้องหลังพลังไททันอันยิ่งใหญ่คือเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่ไม่มีเจตจำนงเสรีตั้งแต่มีชีวิตอยู่จนตายไปเป็นพันๆปีแล้ว เธอยังคงคอยสร้างไททันเพื่อรับใช้และจุนเจือ ‘ความยิ่งใหญ่’ ของผู้อื่นเรื่อยมา นั่นคือสาเหตุว่าทำไมยูมีร์ถึงร้องไห้กับสิ่งที่เอเรนพูดกับเธอ เธอไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเอเรนจะใช้พลังของเธอทำอะไร แต่ในช่วงเวลาที่เด็กหญิงเผยน้ำตาที่อาบแก้มและแววตากับอาการสั่นเทาให้เห็น นั่นเป็นเพราะเธอดีใจอย่างที่สุดที่ท้ายที่สุดแล้วก็มีคนคนหนึ่งมองเห็นเธอซะที และยิ่งไปกว่าการมองเห็น คือมองว่าเธอเป็นมากกว่าเครื่องมือที่มีป้ายแปะว่า ‘ยูมีร์ ฟริตซ์’