ใบสมัครงาน ตำแหน่ง…ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร…
ชื่อ-นามสกุล : รสนา โตสิตระกูล
สังกัด : อิสระ (ตัวจริง)
อายุ : 68 ปี
อาชีพ : เอ็นจีโอ / อดีต ส.ว.กทม.
สโลแกน : กทม.มีทางออก บอกรสนา
สิ่งที่จะทำหากได้เป็นผู้ว่าฯ : 9 นโยบายต้องหยุดโกง กทม.เปลี่ยนแน่
ถึงจะเปิดตัวก่อนใครเพื่อนมาตั้งแต่ปี 2562 สำหรับ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 7
แต่เชื่อว่า หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่า ผู้สมัครที่ประกาศตัวว่าเป็น ‘อิสระตัวจริง’ คนนี้ วางนโยบายอะไรไว้บ้าง
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะรสนาก็เคยเปรียบตัวเองตรงๆ ว่าเป็น ‘ร้านอาหารในซอย’ ไม่ใช่ ‘ร้านอาหารในห้าง’ แบบผู้สมัครคนอื่นๆ
และจนถึงวันนี้ เราก็ยังคงไม่ได้เห็นป้ายหาเสียงของผู้สมัครเบอร์ 7 ตามท้องถนนมากนัก ซึ่งเธอก็บอกว่า เป็นเพราะไม่ได้มีเงินมากมาย และไม่อยากสร้างขยะให้บ้านเมืองรก
วันนี้ The MATTER จึงจะมาเปิดนโยบายของผู้สมัครหญิงคนนี้ ที่เสนอตัวเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งให้กับชาว กทม.
ด้วยความที่รสนาประกาศเจตนารมณ์เป็นผู้สมัคร ‘อิสระตัวจริง’ นั่นหมายความสำหรับเธอว่า จะไม่มีกลุ่มทุนหรือพรรคการเมืองใดๆ หนุนหลัง นโยบายที่ออกมาก็จะต้องไม่มีการทำ ‘เมกะโปรเจ็กต์’ เพื่อเอาใจกลุ่มทุน ในขณะที่ประชาชนก็จะต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในลักษณะของประชาธิปไตยทางตรง
อีกจุดยืนหนึ่งของรสนา คือ การเน้นหนักในเรื่องของธรรมาภิบาลและความโปร่งใส สะท้อนให้เห็นในสโลแกนล่าสุดของเธอที่ว่า “ต้องหยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่”
ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานของสิ่งที่จะกลายมาเป็นนโยบายของเธอ ที่เราอาจแจกแจงได้ดังนี้
การทำมาหากิน
รสนาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และต้องสนับสนุนประชาชนให้ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ เปิดโอกาสให้มีพื้นที่ทำกิน
นโยบายที่เธอเสนอคือ จัดสรรพื้นที่ว่างใน กทม. ให้ประชาชนมาทำเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) และ กทม. อาจจะต้องจัดตั้งกอทุนผู้มีรายได้น้อย เพื่อใช้กู้ยืมไปลงทุนในธุรกิจในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก
ในแคมเปญหาเสียงล่าสุด รสนายังเสนอนโยบายเพิ่มเติม อาทิ
- บำนาญประชาชน 3,000 บาททุกเดือน – โดยจะหาเงินได้จากการยุติคอรัปชั่นและเงินใต้โต๊ะ ลดรายจ่ายจากการกำจัดขยะ เปลี่ยนไปขายขยะแทน รวมถึงการปฏิรูปบริษัทกรุงเทพธนาคม
- เลิกไล่จับหาบเร่แผงลอย จัดให้มีทำเลค้าขายดี ที่ถูกกฎหมาย สะอาด และปลอดภัย
- ตั้งกองทุนหลังคาโซลาร์รูฟ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดค่าไฟ 500 บาท/เดือน
การพัฒนาคุณภาพชีวิต
สำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิต รสนาบอกว่าเป็นภารกิจของ กทม. อยู่แล้ว และถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เธอตั้งใจจะพัฒนาและยกระดับหากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.
นโยบายของรสนาที่น่าจะมีเป้าหมายเข้าข่ายการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือ
- หนุนการเปิดกรุงเทพฯ ให้พึ่งพาตนเอง ด้วยการแจกฟ้าทะลายโจรและไทยฟรีทุกบ้าน เพื่อให้ประชาชนอยู่กับโควิดและกลับมาทำมาหากินได้อย่างมั่นใจ
- กระจายงบ 50 ล้านบาท/เขต ให้ประชาชนในพื้นที่ตัดสินใจทำโครงการและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
- ยกระดับศูนย์อนามัย 69 แห่งใน กทม. เป็นโรงพยาบาลรักษาฟรี 24 ชั่วโมง
- ติดกล้อง CCTV ‘ของจริง’ 1.5 ล้านตัว เพื่อให้ กทม. ปลอดภัยทั้งทางบกและทางน้ำ
เรื่องของคุณภาพชีวิตยังโยงไปถึงเรื่องของขนส่งสาธารณะด้วย ซึ่งรสนาก็โฆษณาว่า
- จะไม่ต่อสัมปทาน BTS และลดค่าตั๋วให้เหลือ 20 บาทตลอดสาย
ฟื้นฟูอัตลักษณ์ กทม. ในฐานะสังคมน้ำ
อัตลักษณ์ กทม. เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รสนาตั้งใจรณรงค์ เพื่อให้กลับคืนสู่รากเหง้าของตัวเองในฐานะสังคมน้ำ เพราะในความเห็นของเธอ ที่ผ่านมา กทม. พัฒนาโดยลืมรากเหง้า จนทำให้คลองถูกถม ตื้นเขิน หรือกลายเป็นที่ทิ้งขยะไป
ในนโยบายที่ประกาศออกมา รสนาจึงเสนอว่าจะ
- แก้ปัญหาน้ำท่วม ด้วยการจ้างงานประชาชนขุดลอก 1,600 คลอง เพื่อฟื้นฟูเสน่ห์วิถีท่องเที่ยวของ ‘เวนิสตะวันออก’พร้อมกับขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำใน กทม.
อีกหนึ่งไฮไลต์ล่าสุดในการหาเสียงของรสนา คือการประกาศตัวเป็นผู้สืบทอดนโยบายของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. 2 สมัย และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
รสนาเปิดเผยว่า ‘ลุงจำลอง’ เป็นแรงบันดาลใจให้เธอลงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. สืบเนื่องมาจากคุณสมบัติ 3 ประการ คือ เป็นต้นแบบความซื่อสัตย์สุจริต-ใช้ชีวิตด้วยการถือศีล 8 เป็นต้นแบบผู้สร้างความเจริญให้กับคน กทม. ด้วยการริเริ่มรถไฟฟ้า BTS สายแรก และเป็นผู้บุกเบิกการแก้ปัญหาน้ำท่วม ด้วยการระดมเก็บขยะและขุดลอกคูคลอง
เธอจึงประกาศสานต่อเจตนารมณ์ของจำลอง ซึ่งสอดแทรกอยู่แล้วในนโยบายข้างต้น ทั้งการยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตและความโปร่งใส การตั้งราคาตั๋ว BTS อยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย และการแก้ปัญหาน้ำท่วมผ่านวิธีต่างๆ ที่ได้เสนอมา
และทั้งหมดนี้ก็คือนโยบายที่ประกาศออกมาของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 7 ที่ดูจะแตกต่าง เฉพาะตัว ไม่เหมือนผู้สมัครรายอื่น นั่นก็เป็นเพราะเธอยืนยันในความเป็นผู้สมัคร ‘อิสระตัวจริง’
แต่ความแตกต่างนี้จะเป็นประโยชน์กับ กทม. หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับชาว กทม. ในวันไปใช้สิทธิใช้เสียงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้