ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราอยู่ในยุคที่การดูแลตัวเองกลายเป็นเทรนด์สำคัญ ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ รูปลักษณ์ ตลอดจนแบบแผนความงามมากขึ้นเรื่อยๆ ในวันนี้คำว่า ‘ดูดี’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘เปลือกนอก’ ทว่ามันสะท้อนถึงความมั่นใจ ความสุข และการรักตัวเองของแต่ละคน
ไม่เกินจริงหากจะบอกว่า ยิ่งดูแลตัวเองได้ดีมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกมีคุณค่าในมิติต่างๆ ของชีวิตมากเท่านั้น…
ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้ธุรกิจคลินิกเสริมความงามในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด เกิดเป็นตลาดที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คำถามคือ แต่ละคลินิกจะทำอย่างไรให้ตัวเองโดดเด่น มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ และสามารถเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าท่ามกลางทางเลือกที่มากมายนับไม่ถ้วน
โจทย์นี้ไม่ใช่ปัญหา ทว่าเป็นความท้าทายที่ หมอฟาง – แพทย์หญิงวิภาวี วงศ์ดี ผู้ก่อตั้ง V Clinic อยากก้าวข้าม เธอเชื่อว่า เคล็ดลับความสำเร็จเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวอย่างการพูดคุย เพราะยิ่งคุณหมอกับคนไข้เข้าใจกันมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะดูแลได้ตรงจุดและตรงใจก็มีมากเท่านั้น นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้ชื่อของหมอฟางกลายเป็นที่จดจำและได้รับการยอมรับในวงการเสริมความงาม
“สวัสดีค่ะ หมอฟาง – แพทย์หญิงวิภาวี วงศ์ดี อายุ 35 ปี ยังหน้าเด็กอยู่ค่ะ”
ประโยคทักทายสั้นๆ นี้ไม่เพียงสะท้อนบุคลิกที่ร่าเริง จริงใจ แต่ยังตอกย้ำว่า ความสุขที่แท้จริงอาจเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นในตัวเอง

อายุ 30 ขนาดนอนดี นอนพอ ริ้วรอยก็ยังถามหา
ทุกวันนี้คุณหมอมีมุมมองต่อวัย 30 ยังไงบ้าง
เอาจริง เมื่อก่อนรู้สึกว่า 30 ก็อาจจะแก่แล้วนะคะ (หัวเราะ) กำลังเข้าสู่วัยที่อาจจะต้องมีลูก สร้างครอบครัว มีความรับผิดชอบเยอะขึ้น แต่พอถึง 35 จริงๆ เรารู้สึกว่า มันกำลังดีนะ กำลังดีทั้งในเรื่องความสามารถ อิสระในการใช้ชีวิต จัดตารางเวลาตัวเองได้ เรามีความสามารถที่จะเลือก เลือกทั้งคนที่อยากอยู่ด้วยและคนที่จำเป็นต้องตัดออกจากชีวิต
สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในวัยเลข 3 คืออะไร
ภาระค่ะ ตอน 20 ภาระมีแค่เรื่องเดียวคือเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ทำข้อสอบ มีรับผิดชอบคนไข้บ้าง แต่พอ 30 ความรับผิดชอบเยอะขึ้นมาก ยิ่งถ้ามีธุรกิจ เราก็ต้องเป็นผู้นำ ต้องดูแล ต้องสื่อสารกับคนในองค์กร ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา คนที่รับผิดชอบก็ต้องเป็นเรา
ดูเป็นภาระที่หนักอึ้งเหมือนกันนะ
หนักค่ะ มันมาพร้อมกับภาระหน้าที่ ซึ่งเราเองก็ต้องพยายามสร้างความมั่นใจ ต่อให้ไม่มีก็ต้องสร้าง ต้องคุยกับตัวเองว่า ‘เราทำได้นะ’ คอยให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ
แล้วเรื่องสุขภาพล่ะ ในวัย 30 เปลี่ยนไปจากในวัย 20 ไหม
เรื่องนี้เปลี่ยนเยอะอยู่นะคะ (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ อายุ 20 ไม่นอนก็ได้ อ่านหนังสือถึงตี 1 ตี 2 ก็ยังตื่นไปสอบไหว กินอาหารอะไรก็ผิวดี เปล่งปลั่ง ไม่มีริ้วรอย แต่พอ 30 โห! ขนาดนอนดี นอนพอ ริ้วรอยก็ยังถามหา
ถ้าเราเข้าใจเขา รู้ว่าเขาคิดอะไร เขาก็จะให้ความไว้วางใจกับเรา
พร้อมให้เราดูแลโดยไม่มีอะไรมากั้น
ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจคลินิกเสริมความงามที่การแข่งขันสูงอยู่แล้ว
เราไม่ได้มองเป็นเรื่องการแข่งขันขนาดนั้น ทุกวันนี้แข่งกับคนอื่นน้อยลง เน้นหาแนวทางของตัวเองมากขึ้น หาจุดเด่นว่า เราเด่นอะไร เก่งอะไร แล้วนำเสนอสิ่งนั้นออกมา แน่นอน เราอาจจะดูคนอื่นบ้าง ศึกษาพอเป็นแนวทาง แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องทำแบบเขาหรือต้องไปแข่งกับเขา
จริงๆ ตอนเปิดคลินิกแรกๆ เราก็ไม่ได้คิดว่าต้องไปแข่งขันกับใครนะ อาจจะดูคลินิกที่ประสบความสำเร็จเป็นแนวทางบ้าง แต่เรายึดมั่นในสิ่งที่เราทำ ถ้าจะสู้ ก็คือสู้กับสิ่งที่ตัวเองทำนี่แหละ ข้อดีอย่างหนึ่ง คือเราเริ่มค่อนข้างเร็ว คิดจะทำธุรกิจนี้ตั้งแต่ช่วงที่ใช้ทุนแพทย์ เราคิดแค่ว่าลองดู พลาดก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ยังกลับมาทำงานในโรงพยาบาลได้
ถ้าเลือกเป็นหมอในโรงพยาบาลอาจจะไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่นคง การเลือกออกมาทำธุรกิจเองแบบนี้สร้างความกังวลบ้างไหม
ก็กลัวเจ๊งนะคะ (หัวเราะ) แต่เราโชคดีที่ผู้ที่มาใช้บริการช่วยบอกต่อ หลายคนกลับมาซ้ำ ช่วยรีวิวให้ก็มี ก็เลยช่วยให้เรามั่นใจ โอเค มีคนชอบเรานะ มีคนอยากให้เราดูแลนะ
การเริ่มต้นธุรกิจเร็วมีความยากง่ายยังไงบ้าง
ยากนะคะ เราไม่เคยทำธุรกิจ บ้านไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง อาจจะมีสามีที่มีความรู้ด้านนี้คอยแนะนำบ้าง เราก็พยายามเป็นตัวของตัวเอง ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ เริ่มจากความไม่รู้ ค่อยๆ ศึกษา คุยกับคนไข้ เราคุยกับเขาเยอะมาก สิ่งนี้น่าจะเป็นจุดเด่นของเรา เราชอบคุย ชอบถามตอบกับคนไข้ การคุยพวกนี้ช่วยให้เราเข้าใจปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของเขา คงเป็นส่วนนี้ล่ะมั้งที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปได้ไกลและไปได้ไว

ถ้าคนไข้มาที่คลินิกพร้อมปัญหาบางอย่าง คุณหมอจะคุยอะไรกับเขา
หมอจะถามก่อนว่ารู้สึกไม่ชอบหรือกังวลอะไรในใบหน้าของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ลงลึกว่า ปัญหานี้เกิดจากอะไร ทางการแพทย์แก้ไขด้วยกรรมวิธีไหนได้บ้าง และแน่นอนว่าต้องพูดคุยเรื่องงบประมาณด้วย เราจะไม่ยัดเยียดทุกอย่างให้เขาทำ ต่อให้ใจของคนเป็นหมอจะอยากให้ทำหลายอย่าง เราเห็นความเป็นไปได้ว่าจุดไหนสวยขึ้นได้ แต่เรื่องงบก็สำคัญ เราเน้นความสบายใจ อยากดูแลแบบครอบครัว ก็คุยกับเขาแบบจริงใจว่า ด้วยงบประมาณนี้ สิ่งไหนที่เหมาะและตอบโจทย์เขามากที่สุด
คุณหมอดูให้ความสำคัญกับการสื่อสารมากเลยนะ
เราว่าการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราให้เวลากับการคุยเยอะมาก เราอยากให้เขามีความสุข อยากให้เขาได้รับในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ทุกคนเข้ามาพร้อมความคาดหวังที่จะเห็นตัวเองดูดีขึ้น เขาอยู่กับตัวเขาทุกวัน มองกระจกก็เห็นตัวเอง เพราะฉะนั้น เราก็ควรคุยกับเขาให้มากที่สุดเพื่อรับผิดชอบต่อใบหน้าและร่างกายของเขา บางทีการรักษานี้อาจจะดี เห็นผล แต่ไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนไข้ที่ต้องใช้ใบหน้าทุกวัน สิ่งเหล่านี้เราจะไม่รู้ถ้าไม่ได้คุยกันมากพอ
เหมือนเอาใจเขามาใส่ใจเรา?
ใช่ มันดีมาก ถ้าเราเข้าใจเขา รู้ว่าเขาคิดอะไร เขาก็จะให้ความไว้วางใจกับเรา มองเราเป็นเพื่อน มองเราเป็นน้องสาว เขาจะพร้อมให้เราดูแลโดยไม่มีอะไรมากั้น เพราะเวลาเจอกันครั้งแรก เป็นธรรมดาที่คนไข้อาจจะมีกำแพงบางอย่างในการรับการรักษา แต่ถ้าเราทลายกำแพงนั้นได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เรารักษาได้ตรงจุด คนไข้ได้ในสิ่งที่คาดหวัง
คุยกับคนไข้เยอะ แล้วในฐานะผู้บริหารต้องคุยกับคนในทีมเยอะด้วยหรือเปล่า
เยอะด้วย เพราะทุกอย่างที่ทำต้องมีมาตรฐาน ทั้งการบริการ คุณหมอ พนักงาน เราพยายามทำให้ได้ตามมาตรฐานทุกเคส เราเอาฟีดแบ็กของคนไข้มาคุยกับคนในทีม จะปรับยังไงให้ดีขึ้น ทำยังไงให้เขาสบายใจ รู้สึกว่าคุ้มค่า
V Clinic มีตั้ง 6 สาขา ถามจริง คุณหมอแบ่งเวลาดูแลยังไง
เราให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการบริหาร ให้อิสระ ให้เขามีบทบาทผู้นำในการพาธุรกิจไปยังเป้าหมายที่เรากำหนดร่วมกัน เรารับฟังเขา ให้อำนาจเขาได้ร่วมจัดการสาขาต่างๆ เขาอยู่หน้างานตรงนั้น เขาย่อมรู้ปัญหาตรงนั้นมากกว่าเรา เพราะฉะนั้น เราเลยยินดีที่จะให้เขาช่วยตัดสินใจ
ถ้าเจอปัญหาเยอะ แต่ปล่อยไม่ได้ มันจะไม่ไหวเอา
การสวมหมวกผู้บริหารทำให้มีความเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับบ้างไหม
นอนไม่หลับก็อาจจะมีบ้าง แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องพนักงานหรือคุณหมอ ส่วนมากจะเป็นเรื่องคนไข้ไม่พอใจ ถึงคลินิกจะรับผิดชอบ แต่บางทีเรายังเก็บความไม่พอใจของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
เวลารู้สึกแบบนั้น คุณหมอรับมือยังไง
สิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง คือเราเป็นคนให้อภัยตัวเองเก่ง ช่างมันเก่ง บอกตัวเองว่า ไว้เริ่มใหม่ก็ได้ ปล่อยวางได้ อาจจะเพราะเจอปัญหามาเยอะด้วย ถ้าเจอเยอะ แต่ปล่อยไม่ได้ มันจะไม่ไหวเอา (ยิ้ม)
ภาพความสุขในวัย 35 เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนไหม
เปลี่ยนนะ วัยเด็กอาจจะสุขเวลาได้สิ่งของบางอย่าง ของแพง ของแบรนด์เนม มีรถ มีบ้าน มีความเป็นวัตถุ แต่เดี๋ยวนี้เรามองตัวเราเองและคนรอบข้างมากขึ้น มีความสุขเพราะผู้คนมากขึ้น เราอยากทำให้คนที่เรารัก รวมถึงตัวเราเองมีความสุข พยายามหาความสุขง่ายๆ อยากให้คนที่เรารักมีคุณภาพชีวิตที่ดี อะไรพวกนี้กลายเป็นความสุขในวัยนี้ของเรา
ถ้าต้องพูดอะไรสักอย่างถึงสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว…
ครอบครัวคือสิ่งที่ทำให้ร้องไห้ง่ายที่สุด แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัยที่สุดเช่นกัน อย่างที่เห็นว่า วันนี้ก็พาลูกสาวมาด้วย (ยิ้ม)
ไม่ว่าเจอปัญหาอะไร ครอบครัวจะเป็นคนแรกๆ ที่บอกว่า เราผ่านไปได้นะ ไม่ต้องห่วง เขาจะคอยเป็นที่พึ่ง คอยยืนอยู่ข้างๆ เสมอ

อะไรคือสิ่งที่อยากเลิกที่สุดในวัยนี้
อยากเลิกกินขนมและน้ำตาลก่อนนอนค่ะ (หัวเราะ) อยากทำให้ได้ เพราะกินแล้วตื่นมาหน้าโทรม ผิวไม่สวย แถมยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย
แปลว่าคนเป็นหมอก็ยังต้องสู้กับเสียงในหัว
ใช่ค่ะ และหลายครั้งก็สู้แพ้ด้วย อดใจไม่ไหว เรากินนะ แต่พยายามกินนิดเดียว จานหนึ่งอาจจะกินสักคำ แล้วต้องหยุดให้ได้
การทำหัตถการไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่มันรักษาสภาพจิตใจของเราด้วย
สำหรับคุณหมอ ความหมายของคำว่า ‘สวยงาม’ คืออะไร
เราว่า ความสวยคือความสุขหนึ่งของชีวิต เวลาเรามีใบหน้าหรือผิวพรรณที่ดี เหมาะกับวัยนั้นๆ มันเสริมทั้งความมั่นใจ แถมยังอาจช่วยลบปมบางอย่างในใจ
ถ้าพูดอะไรกับคนที่กำลังประสบปัญหานี้ได้ คุณหมอจะพูดว่าอะไร
เรามีวิธีแก้ไขและป้องกันในสิ่งที่หลายคนกังวล ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ อย่างหมอเอง หมอฉีดหน้าบ่อยนะ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้ทำทีละเยอะๆ เราทำเพื่อฟื้นฟูมากกว่า เหมือนรถยนต์ที่ต้องตรวจเช็คสภาพอยู่เสมอ
หลายคนอาจมองว่า การเข้าคลินิกเสริมความงามเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย คุณหมอมองยังไง
พูดตามตรงก็อาจจะแล้วแต่มุมมอง แต่จริงๆ เราคิดว่า มันเป็นการดูแลที่สามารถทำได้ภายใต้งบประมาณที่เรามี เราไม่ต้องทำทุกอย่างก็ได้ บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ในขณะที่บางคนอาจจะบอกว่า นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า ส่วนตัวหมอเอง สมัยเรียน ผิวของเราแย่มาก เป็นสิว มีหลุมสิว อาจารย์บางคนเรียกเรา “น้องสิวมาพรีเซนต์งานหน่อย” เราเลยมองว่า การทำหัตถการต่างๆ ไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่มันรักษาสภาพจิตใจของเราด้วย มันช่วยเพิ่มความมั่นใจ ตลอดจนเพิ่มโอกาสต่างๆ ในชีวิต
